Aston Martin ‘DB12’ นิยามใหม่ Super Tourer 21.9 ล้าน เติมออปชั่นสูงสุด 37 ล้าน
Aston Martin ขยับเข้าหาเรื่องของอารมณ์สปอร์ตมากขึ้น แม้ว่าที่ผ่านมา รถของค่ายรถเก่าแก่จากอังกฤษ ก็จะมีอารมณ์นี้อยู่แล้ว แต่ภายใต้การบริหารงานของผู้บริหารใหม่นั้นเหมือนว่ายังไม่พอ ดังนั้นจากนี้ไปน่าจะเห็นการพัฒนาของรถมุ่งไปด้านนี้มากขึ้น
การเน้นความสปอร์ตมากขึ้นของ Aston Martin (แอสตัน มาร์ติน) อาจจะเป็นการบอกใบ้ผ่านการเข้าร่วมแข่งขันรายการรถล้อเปิดอย่าง ฟอร์มูล่า วัน (F1) ที่ใช้เวลาเตรียมการไม่นานนัก ประมาณ 3 ปี
และการแข่งขันล่าสุดของฤดูกาลนี้ก็ทำได้ดี ยึดคะแนนสะสมอันดับ 3 ทั้งประเภททีม และนักขับ โดย เฟอร์นันโด อลองโซ่
แนวคิดและเป้าหมาย สะท้อนผ่านผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงรุ่นที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ล่าสุด คือ Aston Martin DB12 ที่มันถูกนิยามโดย Aston Martin ว่าเป็น Super Tourer คันแรกของโลก ซึ่งเหนือไปอีกขั้นกว่า Grand Tourer
เพราะ Aston Martin มั่นใจในอารมณ์ของรถ มั่นใจในสมรรถนะ โดยเฉพาะขุมพลังที่ใกล้เคียงกับ F1 แต่สามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน จะเดินทางไปไหนมาไหนก็ได้
นอกจากนี้ Aston Martin DB12 ยังเปรับเปลี่ยนแนวคิดหลักในการออกแบบ โดยแต่เดิมรถหลายๆ รุ่นของ Aston Martin แม้จะมีอารมณ์สปอร์ต แต่แนวคิดคือ Power Beauty & Soul ซึ่งก็ดูครอบคลุมดี แต่อาจะกว้างเกินไป
แต่สำหรับ DB12 นั้น Aston Martin ระบุว่า แนวคิดคือ ยึดคนเป็นศูนย์กลาง การออกแบบต้องตอบสนองผู้ขับขี่ให้มากที่สุด ทั้งเรื่องของสมรรรถนะ ความสะดวกสบาย และอารมณ์ในการขับขี่
ซึ่งประเด็นนี้ เรื่องที่ผมชอบก็คือ การออกแบบภายใน ที่แม้ว่ายุคนี้จะหลีกหนีโลกดิจิทัลได้ยาก ซึ่ง DB12 ก็ใส่หลายๆ อย่างมาเช่นกัน รวมถึงเทคโนโลยี จอแสดงข้อมูล จอ อินโฟเทนเมนต์ ที่รวบรวมการควบคุม หรือความบันเทิงต่างๆ เอาไว้
แต่ก็ยังไม่ทิ้งปุ่มหรือก้านควบคุมต่างๆ ที่ทำให้การใช้งานของผู้ขับขี่ทำได้สะดวกกว่าการเข้าไปที่หน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นระบบพื้นๆ อย่าง แอร์ เครื่องเสียง ไปจนถึงระบบการขับขี่ การเลือกเสียงท่อไอเสียที่เป็นเสียงจริง ไม่ใช่เสียงสังเคราะห์ หรือ การเลือกปรับระบบช่วงล่าง เป็นต้น
การออกแบบภายใน ก็ดูเรียบง่ายมากขึ้น และเน้นเส้นสายแนวขวาง ลดความซับซ้อนของเส้นอื่นๆ ลงไป
ขณะที่การออกแบบภายนอก แม้จะดูคล้ายคลึงกับ DB11 แต่นั่นเป้นเพราะมันคือ ไอคอน ที่แม้จะเปลี่ยนโฉมใหม่ แต่ยังต้องคงความเป็น DB เอาไว้
แต่จริงๆ แล้วขนาดตัวถังใหญ่ขึ้น ขยายฐานล้อด้านหน้าจะกว้างขึ้นประมาณ 6 มม. ด้านหลังกว้างขึ้น 22 มม.
กระจังหน้าใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจน เทียบแล้วเพิ่มขึ้นประมาณ 56% แต่ยังคงเอกลักษณ์แบบซี่เอาไว้ กันชนหน้าและแผ่นควบคุมทิศทางลม ออกแบบใหม่ และเป็นชิ้นเดียวกัน
การออกแบบรวมๆ ของโครงสร้างตัวถังด้านนอก จะไม่เน้นให้มีปีกเกะกะสายตา แต่พวกแผ่นควบคุมทิศทางลม การออกแบบโครงสร้างตัวถัง เป็นตัวจัดการกับเรื่องของอากาศพลศาสตร์เป็นหลัก
แต่จริงๆ แล้ว DB12 ก็มีสปอยเลอร์หลังเอาไว้เพิ่มแกรงกดเมื่อใช้ความเร็วสูง แต่มันซ่อนแนบเข้าไปตัวถัง จะยกตัวออกมา เมื่อถึงระดับความเร็วที่เหมาะสม
อีกจุดที่เปลี่ยนแปลง คือ โลโก้ บนฝากระโปรงหน้า และมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ยังคงเอกลักษณ์ในการผลิตที่ลูกค้าชื่นชอบ คือ เป็นงานแฮนด์เมด จากช่างฝีมือในเมืองเบอร์มิงแฮม
อีกจุดที่เปลี่ยนแปลง คือ มือจับเปิดประตู แบบ เชคแฮนด์ ที่ซ่อนอยู่ในตัวถัง ลดความเกะกะ เมื่อปลดล็อก ใช้มือกดปลายด้านหนึ่งลงไป ปลายอีกด้านจะยื่นออกมาให้จับ
แต่สำหรับ DB12 เมื่อกดรีโมทปลดล็อค ปลายด้านหนึ่งจะยื่นออกมาทันที ไม่ต้องใช้นิ้วกด
ล้อแบบ ฟอร์จจิ้ง ขนาด 21 นิ้ว เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนลายล้อมีให้เลือกหลายออปชั่น โดยล้อมีน้ำหนักที่ลดลงประมาณ 8 กก.
และใช้ยาง Michelin Pilot Sport 5S ที่ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ จะสังเกตได้จากสัญลักษณ์ AMLหรือ Aston Martin Limited ที่แก้มยาง
เป็นยางที่มีโครงสร้างโฟมด้านใน เพื่อลดเสียงรบกวน โดยด้านหน้าใช้ขนาด 275/35 ZR21 ด้านหลัง 325/30 ZR21
เครื่องยนต์วี 8 ขนาด 4 ลิตร ของ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี (Mercdes-AMG) แต่ปรับจูนใหม่ โดยแอสตัน มาร์ติน ยืนยันว่า แรงที่สุดในคลาส ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโมัติ 8 สปีด ของ ZF
- กำลังสูงสุด 680 แรงม้า (PS) มากกว่า DB11 อยู่ 33%
- แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร เพิ่มขึ้น 18%
- อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 3.6 วินาที
- ความเร็วสูงสุด 325 กม./ชม.
ช็อค แอบซอร์เบอร์ ปรับความหนืดอัตโนมัติ ยืดหยุ่นกว่าเดิม 5 เท่า
โหมดการขับขี่มีให้เลือกใช้งาน 5 โหมด คือ
- GT (โหมดพื้นฐาน)
- Wet
- Sport
- Sport+
- Individual
นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยออกตัว หรือ Launch Control และเฟืองท้าย Limited Slip ควบคุมด้วย อีเลคทรอนิคส์ (e-diff)
ระบบควบคุมการทรงตัวมีให้เลือกใช้ 3 รูปแบบ คือ
- On
- Track
- Off
จานเบรกมีออปชั่นให้เลือกคือ คาร์บอน เซรามิค ด้านหน้าขนาด 410 มม. ด้านหลัง 360 มม. โดยมีน้ำหนักเบาลง 27 กก.
คาลิเปอร์เบรกหน้า 6 พอร์ด ด้านหลัง 4 พอร์ต
ส่วนออปชั่นเด่นๆ ภายใน เช่น ระบบอินโฟเทนเมนต์ ที่พัฒนาโดย Aston Martin เอง
จอแสดงข้อมูลการขับขี่ TFT ขนาด 10.25 นิ้ว จอกลาง ขนาด 10.25 นิ้ว เช่นเดียวกัน พวงมาลัย ดีไซน์ใหม่ ตัดเย็บด้วยมือ
ทั้งนี้รรดาออปชั่นต่างๆ ทั้งภายนอกภายใน เช่น สี ล้อ เบาะหนัง เครื่องเสียง ลูกค้าสามารถเลือกได้ โดยเพิ่มเงินตามออปชั่นที่เลือก ตั้งแต่หลักแสนบาทจนถึงหลักล้าน เช่น สี ภายนอกมีตั้งแต่ 7 แสน ถึง 2 ล้านบาท หรือ เครื่ยองเสียง Bower&Winkins พร้อมลำโพง 15 ดอก ก็จ่ายเพิ่มอีกประมาณ 2 ล้านบาท เป็นต้น โดยสูงสุดเมื่อรวมกับราคารถแล้วจะอยู่ในระดับ 36-37 ล้านบาท
ส่วนราคาพื้นฐานของ Aston Martin DB12 อยู่ที่ 21,900,000 บาท