Hyundai ‘IONIQ5’ ดีกว่าที่คิด ขับเนียน นั่งสบาย ตัวเลือก EV ครอบครัว
ฮุนได ไอออนิค5 (Hyundai IONIQ5) เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) ที่มีเสียงตอบรับที่ดีเมื่อเปิดตัวในตลาดโลก ล่าสุดเข้ามาเปิดตลาดในไทย ด้วยความมั่นใจว่าจะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่างจีนได้ แม้จะเสียเปรียบที่ต้องจ่ายภาษีนำเข้าจากเกาหลี 40% ก็ตาม
ฮุนได มอเตอร์ เกาหลี ตัดสินใจเข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยเองแทนที่ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือน เม.ย.2566 โดยตั้งบริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นมาดูแล พร้อมคำยืนยันว่าจะเดินหน้าทำตลาดเต็มที่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เหมือนจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับตลาดนี้เท่าที่ควร
ส่วนหนึ่งเพราะก่อนหน้านั้นฮุนไดเน้นตลาดในประเทศเป็นหลัก และเมื่อมีความแข็งแกร่งก็เริ่มลุยตลาดต่างประเทศ แต่เน้นไปทางยุโรป หรือ อเมริกามากกว่า
ขณะที่ในไทย ฮุนไดยอมรับว่าส่วนหนึ่งยังไม่มีข้อมูล ยังไม่เข้าใจตลาดมากพอ แต่ก็ใช้เวลาช่วงหลายปีที่ผ่านเก็บข้อมูลต่างๆ ทำให้เข้าใจตลาดมากขึ้น และพร้อมจะเปิดเกมรุกเต็มที่ ทั้งแผนการทำตลาดที่หลากหลาย รวมถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ที่ผู้บริหารฮุนได พูดกับสื่อมวลชนไทยที่สำนักงานใหญ่เกาหลีใต้ว่าพร้อมจะแข่งกับอีวีจากจีนที่กำลังร้อนแรงเหลือเกิน
โดยอีวี ที่ฮุนไดเปิดตลาดรุ่นแรกในไทยคือ ฮุนได ไอออนิค 5 (Hyundai IONIQ5) มี 3 รุ่นย่อยคือ
- Premium ราคาเริ่มต้น 1,699,000 บาท
- Exclusive ราคา 1,899,000 บาท
- First Edition ราคา 2,399,000 บาท
First Edition รุ่นท็อปที่อยู่กับผมวันนี้มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหน้า ให้กำลังสูงสุด 217 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.4 วินาที
โดยรวมเป็นอีวีที่ขับได้ดีเลย ทำออกมาได้ลงตัว มีความสมดุลในหลายๆ ด้าน
โดยการตอบสนองของมอเตอร์ไฟฟ้าทำได้รวดเร็ว ทั้งช่วงการออกตัว ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องความรวดเร็ว แต่อาการของตัวรถที่นิ่ง หรือจังหวะการเร่งแซงที่ถือว่าโดดเด่น การเพิ่มกำลังเพิ่มความเร็วทำได้เร็ว และนุ่มนวลเมื่อเพิ่มน้ำหนักลงบนคันเร่งเบาๆ ไม่จำเป็นต้องกระโชกโฮกฮาก หรือจังหวะไล่ความเร็วขึ้นไปสูงๆ
พูดง่ายๆ คือ หากเป็นการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันที่การขับขี่จำเป็นจะเต้องเปลี่ยนความเร็วบ่อยครั้งหรือแทบจะตลอดเวลาสำหรับการจราจรในบ้านเรา IONIQ5 จะเดินทางได้ลื่นไหล จากการเปลี่ยนระดับความเร็วที่นุ่มนวล ต่อเนื่อง
การทรงตัวก็ดีเช่นกัน นิ่งในทุกความเร็วที่ใช้งาน รวมถึงจังหวะการขับขี่ที่คมใช้ได้เลย เข้าออกโค้งได้แม่นยำ และแม้ว่าตัวรถจะมีน้ำหนักพอควร 1,990 กก. เมื่อรวมกับคนในรถทำให้ทะลุ 2 ตัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความหนักของรถที่จะมีผลต่อการควบคุมรถ โดยเฉพาะเมื่อต้องเข้าออกโค้งด้วยความเร็ว จุดนี้ทำได้น่าประทับใจครับ
อารมณ์เบรก ระยะเบรก อยู่ในเกณฑ์ที่ดี เบรกหนักๆ รถก็ยังนิ่ง แต่ว่ามีอารมณ์หน้ากดนิดๆ ให้รู้สึกได้บ้าง แต่ไม่ถึงกับสร้างปัญหาอะไร
ส่วนการชาร์จไฟกลับ เลือกระดับได้เอง 3 ระดับ ด้วยปุ่มควบคุมที่พวงมาลัย คล้ายๆ กับแพดเดิลชิฟต์นั่นแหละครับ จะเลือกแบบค่ากลางๆ ก็ได้ หรือเลือกชาร์จหนักก็จะมีอารมณ์เหมือนกับใช้เอนจิ้นเบรก ยกเท้าออกจากคันเร่งก็รับรู้ถึงแรงหน่วงหนักๆทันที หรือ จะเอาแบบปล่อยไหลก็ได้ รถยังพุ่งไปข้างหน้าด้วยแรงเฉื่อย แม้ยกเท้าออกจากคันเร่งแล้ว
ซึ่งแบบหลังนี้ โดยส่วนตัวผมว่าแบบนี้ใช้ในช่วงทางโล่งๆ ดีกว่า เพราะมันพุ่งไหลแบบแทบไม่ลดความเร็ว สวนแบบที่หน่วงหนักๆ โดยส่วนตัวอีกเช่นกัน ผมจะไปเลือกใช้กับขับทางเขา แต่ถ้าเป็นการใช้งานทั่วๆ ไป ก็เลือกใช้ค่ากลางน่าจะเหมาะสมที่สุด
ส่วนอัตราการใช้พลังงาน ฮุนได ระบุไว้ที่ 17.9 kWh/100 กม. การขับจริง เส้นทางกรุงเทพฯ-อยุธยา-กรุงเทพฯ ตกอยู่ที่ 18 นิดๆ ถือว่าน่าพอใจ
First Edition มาพร้อมยางขนาด 255/45 R20 ซึ่งก็น่าจะมีผลพอควรต่ออารมณ์การขับขี่ รวมถึงจังหวะการเข้าออกโค้งที่นิ่ง แต่ก็มีเสียงของยางซีรีส์ต่ำเข้ามาให้ห้องโดยสารให้ได้ยินบ้าง และจะว่าไปแล้วก็พอจะรับรู้ได้ถึงความกระด้างของยางที่ถ่ายทอดสภาพพื้นผิวถนนขึ้นมาด้วยเช่นกัน
แต่ว่าแรงที่ส่งขึ้นมาจากล้อมันก็ถูกกระจายไปก่อนจะมาถึงตัวผู้ขับขี่หรือผู้โดยสาร ผมว่าตรงนี้นอกจากช่วงล่างที่ด้านหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สัน สตรัท และด้านหลังมัลติลิงค์ทำหน้าที่ดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีแล้ว ตัวเบาะนั่งเองน่าสนใจ ดูจะใส่ใจในการออกแบบ
เพราะเป็นเบาะที่มันให้ความรู้สึกนั่งแล้วสบายจริงๆ มีความนุ่มนวล แต่ไม่จม และยังกระชับลำตัวอีกด้วยช่วยให้การควบคุมรถทำได้ดีขึั้น และทำให้แรงสั่นสะเทือนจากถนนขึ้นมาตัวคนในรถน้อย
IONIQ5 มีออปชั่นหลักๆ ที่ใส่เข้ามาไม่น้อย เริ่มจากหลังคาแบบ Vision Roof พร้อมม่านบังแดดไฟฟ้า เพิ่มความโปร่งโล่งในห้องโดยสาร ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ Panoramic Pixel LED สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 LED
มือจับเปิดประตูแบบป็อปอัพพร้อมเซนเซอร์ โดยปกติมือจับจะฝังเข้าไปในแผงประตูทำให้ไม่เกะกะ เมื่อต้องการเปิดก็กดที่ปลายด้านหนึ่ง ปลายอีกด้านก็จะเด้งขึ้นมาให้จับ
แต่ถ้ามีกุญแจอยู่กับตัวเข้ามาใกล้รถ เมื่อเซ็นเซอร์จับได้ มันก็จะยื่นมารอไว้เลย โดยไม่ต้องเอื้อมมือไปกดแต่อย่างใด
ภายในมีช่องยูเอสบี 4 ช่อง ปุ่มเลือกโหมดขับขี่ Eco, Normal และ Sport เบาะคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบดันหลัง และเป็นเบาะแบบปรับอุณหภูมิได้จะเลือกร้อนหรือเย็นก็ตามสบาย แต่ส่วนใหญ่น่าจะเลือกแบบเย็นกัน และเบาะคนขับยังพับนอนได้แบบ Zero Gravity ส่วนเบาะแถวที่ 2 พับได้แบบ 60/40 เพื่อเพิ่มความหลากหลายในการใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อต้องการเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระ
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ 2 โซน ปรับแยกอิสระซ้าย-ขวา จอแสดงผลขนาด 12.3 นิ้ว จอกลางทัชสกรีนขนาด 12.3 นิ้ว รองรับ แอ๊ปเปิ้ล คาร์เพลย์ และแอนดรอยด์ ออโต้ ไฟในห้องโดยสาร LED ที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ เบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Brake Hold เครื่องเสียง Bose พร้อมลำโพง 8 ดอก
ถุงลม 6 ตำแหน่ง เบรกเอบีเอส ระบบควบคุมเสถียรภาพ ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ระบบช่วยหยุดรถเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง เซ็นเซอร์กะระยะหน้า-หลัง ระบบ VESS จำลองเสียงเพื่อความปลอดภัยของคนเดินถนน
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ทำงานได้แม่นยำ และเป็นธรรมชาติครับ และทำงานจนถึงรถหยุดนิ่งและออกตัวใหม่ ระบบเตือนและเบรกอัตโนมัติที่ทางแยก ระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน และระบบควบคุมให้อยู่กลางเลน ระบบเตือนและเบรกอัตโนมัติเมื่อถอยหลัง
กล้องมองภาพจุดอับสายตา ซึ่งจะทำงานทุกครั้งเมื่อเปิดไฟเลี้ยว ทั้งซ้ายและขวา โดยจะแสดงภาพที่บริเวณจอแสดงข้อมูลการขับขี่ หลายคนอาจจะไม่ชอบใช้งาน เพราะการดู 2 จุดทั้งที่จอและที่กระจก อาจไม่ถนัดนัก แต่ผมว่าอย่างน้อยจะมีประโยชน์ในช่วงที่เลี้ยวเข้าออกซอยเพื่อให้ล้อปลอดภัยจากของฟุตบาธ และระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง เป็นต้น
โดยรวมผมว่าเป็นอีวีอีกรุ่นที่น่าสนใจ อารมณ์การขับขี่สปอร์ต และขับสบาย รวมถึงไม่สร้างความรู้สึกแตกต่าง โดยเฉพาะใครที่โดดจากรถที่ใช้เครื่องยนต์มาขับอีวีเป็นคันแรก
เป็นรถที่เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน หรือจะใช้กับครอบครัวก็ไม่เลว ด้วยเบาะที่นั่งสบาย และห้องโดยสารกว้างขวางจากระยะฐานล้อที่ยาวถึง 3 เมตร โดยที่ตัวถังรถยาว 4.63 เมตร
บวกกับการออกแบบอื่นๆ ที่ลดส่วนที่จะรวบกวนพื้นที่ในห้องโดยสาร รวมถึงการออกแบบรายละเอียดต่างๆ เช่น คอนโซลหน้า คอนโซลกลาง ที่ดูแล้วสบายตาครับ
ส่วนถ้าเป็นตัวกลางหรือตัวล่าง ที่ราคาเข้าถึงง่ายหน่อย ก็มีออปชั่น และรายละเอียดทางเทคนิคบางอย่างที่แตกต่างไป เอาไว้ได้ลองเมื่อไรจะเอามาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งครับ