เบนซ์ ‘GLC 350 e 4MATIC Coupe ’ เอสยูวี ขับสนุก ทางร่วม สปอร์ต-รักษ์โลก
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัว จีแอลซี เจเนอเรชั่น 3 เดือน ส.ค.ปีที่แล้ว ในรุ่น GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic ที่มาพร้อมกับระบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด เจเนอเรชั่น 4 และล่าสุดในงาน บางกอก มอเตอร์โชว์ ที่ผ่าน เปิดตัวเวอร์ชั่นคูเป้ "GLC 350 e 4MATIC Coupe AMG Dynamic" ค่าตัว 4.34 ล้านบาท
สมรรถนะที่ได้จากระบบไฮบริด ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า
- กำลังสูงสุด 313 แรงม้า
- แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร
- ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9G-Tronic
- อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.7 วินาที
- ความเร็วสูงสุด 218 กม./ชม.
สำหรับที่ชอบรถแบบ เอสยูวี ที่มีสไตล์สปอร์ตผสมอารมณ์เข้ามากับตัวถังแบบคูเป้ลาดท้าย และไม่ต้องการรถที่คันใหญ่มาก เช่น ใช้งานคนเดียว หรือ ครอบครัวย่อมๆ ผมว่า จีแอลซี ตัวนี้น่าจะเป็นคำตอบที่ดี และโดยส่วนตัวผมว่ามันเหมาะสมลงตัวในหลายๆ เรื่อง ทั้งดีไซน์ ขนาดกะทัดรัด และสมรรถนะ
GLC 350 e 4MATIC Coupe AMG Dynamic มีขนาดความยาวตัวถัง 4,764 มม. กว้าง 1,890 มม. สูง 1,605 มม. ระยะฐานล้อ 2,888 มม. ซึ่งถือว่ายาวใช้ได้ ส่วนหนึ่งเพราะล้อที่ถูกยืดไปด้านหน้า และด้านหลัง และยังช่วยให้รถมีระยะโอเวอร์แฮงก์ที่ค่อนข้างสั้น ช่วยในเรื่องการทรงตัว และความคล่องตัวมากขึ้น
ห้องโดยสารค่อนข้างกว้าง นั่งสบายทั้งเบาะหน้าและเบาะหลัง แม้รูปทรงตัวถังจะเป็นแบบท้ายลาดก็ตาม และก็เพิ่มความโปร่งโล่งด้วยหลังคา พาโนรามิค ซันรูฟ ที่มีม่านบังแดดควบคุมด้วยไฟฟ้าติดมาให้
ซึ่งวันแดดจัดๆ แม้จะรู้สึกมีแสงเล็ดลอดลงมาได้บ้าง แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรกับการใช้งาน ส่วนความร้อน ระบบปรับอากาศจัดการได้ครับ
ส่วนออปชั่นหลักๆ ก็ใส่มาเยอะครับ ที่เด่นๆ และเป็นจุดขายหลัก เช่น ไฟหน้าแบบ ดิจิทัล ไลท์ ที่ให้ความละเอียด 1.3 ล้านพิกเซลต่อข้าง และส่องสว่างได้ไกล 650 เมตร เห็นเส้นทางด้านหน้าได้ไกล เพิ่มความปลอดภัย และระบบปรับไฟหน้าอัตโนมัติ เพื่อเลี่ยงการรบกวนผู้อื่นๆ แต่ส่องสว่างในพื้นที่รอบๆ ข้างได้แม่นยำ
ระบบความปลอดภัยและช่วยเหลือการขับขี่ เช่น อแดปดีฟ เบรก ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันรักษาระยะห่างจากคันหน้า ระบบรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร ระบบเตือนจุดอับสายตา ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ
กล้องรอบคัน 360 องศา และหากใครต้องการใช้งานในรูปแบบ ออฟโรด ให้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ทำงานได้เต็มที่มากขึ้น ก็มี Off-Road Engineering Package ที่เสริมเหล็กใต้ท้องรถแบบ Underbody protection
รวมถึง Transparent bonnet ที่จะสร้างภาพเสมือนจริงใต้ท้องรถ จากการจำภาพวัตถุดตัวจริงประมวลผลร่วมกับความเร็ว ทิศทางของรถ เพื่อให้ผู้ขับรู้ว่าตำแหน่งของวัตถุดังกล่าวอยู่ตรงไหนแล้ว แม้จะมองไม่เห็นและไม่มีกล้องอยู่ใต้ท้องรถก็ตาม
ภายในห้องโดยสาร เน้นอารมณ์สปอร์ตด้วยโทน แดง-ดำ ระบบเครื่องเสียงจุดขายหลักของค่ายตราดาว อย่าง Burmester 3D surround sound system มาพร้อมลำโพง 15 ดอก และระบบปฏิบัติการ MBUX 7 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด
จอแสดงข้อมูลการขับขี่ Digital Instrument cluster ขนาด 12.3 นิ้ว เห็นชัด เลือกแสดงข้อมูล และรูปแบบได้หลายอย่าง ส่วนจอกลางความละเอียดสูงเห็นภาพชัดเจน แบบสัมผัส ขนาด 11.9 นิ้ว
ในด้านสมรรถนะ สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องของ handling การเซ็ทช่วงล่าง และความสมดุลของรถช่วยให้ควบคุมได้ดี เป็นเอสยูวีที่ขับบนทางเรียบได้นิ่งมาก แม้ว่าจะใช้ความเร็วที่ค่อนข้างสูงก็ตาม
การเข้าออกโค้งทำได้นิ่ง แม่นยำ เกาะไปกับทิศทางที่ควบคุมผ่านพวงมาลัยได้แม่น อาการโยนตัวให้ตัวน้อย พูดกันภาษาบ้านๆ กับการขับรถว่า “คม”
ดังนั้นมันช่วยให้การขับรถที่ต้องเจอทางโค้งบ่อยๆ ย่าน ภูเก็ต พังงา สบายใจ ไม่เหนื่อย และเชื่อว่าเดินทางไกล ก็ไม่เหนื่อยเช่นกัน กับความนิ่งของรถที่ทำให้เราแค่ประคองพวงมาลัยสบายๆ เท่านั้น
ทั้งนี้สำหรับจีแอลซีนั้นทีมวิศวกรพยายามาปรับให้มันสมดุลที่สุด เช่น การที่แบตเตอรีติดตั้งไว้ด้านหลัง รวมถึงตัวรถที่เป็นแบบ เอสยูวี ที่มีความสูงมากกว่ารถยนต์นั่ง เมอร์เซเดส-เบนซ์ จึงเลือกพัฒนาช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบถุงลม พร้อมระบบ Self-leveling ที่ระบบจะคอยปรับสมดุลอัตโนมัติ เป็นอีกส่วนสำคัญที่ทำให้การควบคุมรถทำได้เนียน นิ่ง อย่างที่บอกไปนั่นแหละครับ
และเมื่อพูดถึงช่วงล่าง จังหวะออกตัว จังหวะการเติมคันเร่งแรงๆ หรือจังหวะเบรกหนักๆ รถก็รักษาระดับกับพื้นผิวเส้นทางได้ดี อาการหน้าเชิด หน้ายุบ แทบไม่มี
ส่วนด้านขุมพลัง จุดเด่นของแรงบิดที่สูง ที่ช่วยเติมความกระฉับกระเฉงและความคล่องตัวในการขับขี่ที่ต้องเปลี่ยนความเร็วบ่อยครั้ง เช่น การเข้าโค้ง ออกโค้ง รวมถึงเส้นทางไฮเวย์ทั่วไปที่ต้องเปลี่ยนช่องทางไปมาบ่อยครั้ง เป็นสิ่งที่ผมชอบมากกว่า การพูดถึงเรื่องของความเร็ว
แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของความเร็ว การไล่ความเร็วขึ้นไปสูงๆ คันนี้ก็ทำได้ต่อเนื่อง ไม่สะดุด
ส่วนระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4MATIC จะส่งกำลังไปยังล้อต่างๆ แบบแปรผันตามความเหมาะสมในช่วงเวลานั้นๆ แต่โดยปกติก็จะส่งกำลังทั้ง 4 ล้อ โดยส่งไปด้านหลังเป็นหลักคือ 69%
ส่วนขุมพลังปลั๊ก-อิน ไฮบริด นั้นเมื่อชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ขนาดความจุ 31.2 kWh สามารถกักเก็บพลังงานเอไว้ให้ใช้ขับขี่ด้วยโหมด อีวี ได้ระยะทางสูงสุด 120 กม.
ก็น่าจะตอบโจทย์คนที่ชื่นชอบพลังงานไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประหยัดค่าเชื้อเพลิงและสมรรถนะ โดยด้านการประหยัดนั้น เพราะใช้งานปกติในชีวิตประจำวันของหลายคน ระยะทาง 120 กม. น่าจะครอบคลุมการใช้งานใน 1 วัน
ขณะที่การชาร์จ ก็ถือว่าค่อนข้างสะดวก เพราะรองรับทั้งการชาร์จปกติหรือ AC ที่ 11 kW และการชาร์จเร็ว หรือ DC ที่ 60 kW
โดยการชาร์จ DC จาก 10-80% ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
ส่วนด้านสมรรถนะ เพราะเฉพาะตัวมอเตอร์ไฟฟ้านั้นให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร สบายๆ ครับ ขับได้กระฉับกระเฉง ความเร็วก็เพียงพอต่อการใช้งาน
ดังนั้นหากพูดถึงรวมๆ อย่างที่ผมบอกไป ว่าในมุมของผมจัดว่าเป็นรถอีกคันที่น่าใช้ เพราะตอบโจทย์หลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องของพลังงาน ความคล่องแคล่ว คล่องตัว และที่สำคัญสำหรับคนที่ชอบขับรถ ก็คือ ความสนุกที่หาได้จาก คูเป้ เอสยูวี คันนี้ครับ