จูนเหยา แอร์ ราคาดี พละกำลังได้ ปรับช่วงล่างเล็กน้อยก็ดี
จูนเหยา แบรนด์รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (อีวี) น้องใหม่จากจีน เปิดตัวรถรุ่นแรกอย่างเป็นทางการในงานมหกรรมยานยนต์ที่ผ่านมา กับ JY AIR 2 รุุ่นย่อย ซึ่งโดยรวมถือว่าทำราคาได้น่าสนใจ ทีนี้มาดูกันว่าแล้วการขับขี่จะน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน
จูนเหยา ออโต้ (JUNEYAO AUTO) เริ่มต้นธุรกิจยานยนต์ได้ไม่นาน คือปี 2565 โดยแตกแขนงมาจากจูนเหยา โฮลดิ้ง ที่มีธุรกิจหลากหลายทั้งด้านคมนาคม คือ สายการบิน จูนเหยา แอร์ไลน์ส ด้านการเงินการลงทุน ด้านการศึกษา และด้านเทคโนโลยีและนวตกรรม
แม้จะเริ่มได้ไม่นานแต่ว่าก็ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์เสียทีเดียว เพราะเป็นการเข้าไปซื้อกิจการจากยูโด (YUDO) ซึ่งเป็นผู้ผลิตอีวีของจีน ที่มีฐานการผลิตขนาด 1 แสนคัน/ปี ที่ฝูเจี้ยน หลังจากนั้นก็เริ่มต้นลุยงานรวมถึงดึงตัวมืออาชีพในวงการเข้าร่วมงานหลายร้อนคน ก่อนที่รถรุ่นแรก JY AIR จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการปีนี้
และสำหรับ JY AIR ที่นำเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา มี 2 รุ่นย่อย คือ
- JY AIR Standard
รุ่น Standard มาพร้อมแบตเตอรีความจุ 51 kWh รองรับการใช้งานสูงสุดต่อการชาร์จ 1 ครั้ง 430 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC
ให้กำลังสูงสุด 201 แรงม้า ทำความเร็วได้สูงสุด 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง ติดตั้งยางขนาด 215/60 R17 ราคา 759,000 บาท ราคา 759,000 บาท
- JY AIR PLUS
แบตเตอรีความจุ 64 kWh รองรับการใช้งานสูงสุดต่อการชาร์จ 1 ครั้ง 520 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC
กำลังสูงสุด 214 แรงม้า ทำความเร็วได้สูงสุด 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง ติดตั้งยางขนาด 235/45 R19 ราคา 869,000 บาท
JY AIR มีขนาดตัวถัง (ยาว x กว้าง x สูง) 4,550x1,860x 1,515 มม. ระยะฐานล้อ 2,800 มม.
แนวทางการออกแบบ จูนเหยาบอกว่า JY AIR ได้แรงบันดาลใจมาจากเครื่องบิน ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงแบบกล่องเดียว เน้นหลักอากาศพลศาสตร์ โดยมีค่าซีดี 0.23 ขณะที่องค์ประกอบอื่น ๆ เช่น รูปทรงของไฟหน้าเหมือนกับปีกเครื่องบิน
หรือ การออกแบบภายในที่ดึงอารมณ์มาจากเบาะนั่งชั้นหรูบนเครื่องบิน เบาะหน้าปรับเอนนอนได้ ขณะที่เบาะหลังพับได้แบบราบเรียบเลยทีเดียว ซึ่งไม่ค่อยเห็นในรถเก๋ง
พูดถึงเบาะนั่ง จูนเหยาออกแบบได้ดี นั่งสบายมีความนุ่มและมีความสปอร์ตในตัว โดยรูปทรงเบาะที่โอบกระชับลำตัว ทำให้ตัวไม่เลื่อนไปไหน จะเป็นฝั่งผู้ขับก็ช่วยให้การควบคุมรถทำได้ดีขึ้น เป็นผู้โดยสารก็คงนั่งหลับได้ยาวขึ้น เพราะตัวไม่เลื่อนไหลจังหวะเข้าออกโค้ง
หลังคากระจก กลาสรูฟ ให้ความโปร่งโล่ง แต่ก็คงจะมีคำถามถึงสภาพอากาศและแดดบ้านเราไม่น้อย แม้จะยืนยันว่าป้องกันความร้อนและยูวีได้สูงมากก็ตาม ให้ที่ชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย 1 ตำแหน่ง สำหรับรุ่น Plus ที่ผมขับ ส่วนตัวเริ่มต้นไม่มี ช่องเชื่อมต่อยูเอสบีด้านหน้ามีทั้งไทป์ เอ และ ซี ด้านหลัง ไทป์ซี
การออกแบบภายในยังเน้นวัสดุบุนุ่มในหลาย ๆ ส่วน ภาพรวามเน้นโปร่งโล่ง สบายตา จอมอนิเตอร์ปรับองศาได้อัตโนมัติ หรือ เรียกว่า sunflower เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน
และการเลือกฟังก์ชั่นหลาย ๆ อย่าง รวมถึง การควบคุมอุปกรณ์ เช่น กระจกมองข้างต้องเข้าไปควบคุมในจอร่วมกับปุ่มบนพวงมาลัย ซึ่งปัจจุบันหลายแบรนด์หลายรุ่นนิยม แต่ผมไม่ค่อยชอบนัก ดูไม่ค่อยสะดวก แม้จะเรียนรู้การใช้งานจนชินก็ตาม เพราะฟังก์ชั่นบางอย่างไม่ควรต้องมีความซับซ้อนในการควบคุม เช่น กระจกมองข้าง หรือ การเลือกโหมดขับขี่ ถ้ามีปุ่มแยกมาต่างหากน่าจะดี
พูดถึงโหมดขับขี่คันนี้มีให้เลือก 5 โหมด คือ Eco, Normal, Sport, Customize ให้เลือกปรับเอาเอง และ One Paddle
โดยโหมด Sport ให้อารมณ์ต่างจาก Normal ชัดเจน การเรียกกำลังมาได้รวดเร็ว รถมีความกระฉับกระเฉงขึ้นชัดเจน เหมาะกับสถานการณ์ที่รถบนท้องถนนเยอะ และต้องขับแบบต้องเปลี่ยนเลนไปมาตลอดเวลา โหมดนี้ช่วยเพิ่มความคล่องตัวได้ดีขึ้น แต่ถ้าเดินทางทั่วไป จะใช้ความเร็วทั่วไป หรือความเร็วสูง Normal ก็พอแล้วครับ
การตอบสนองของมอเตอร์ไฟฟ้า ถือเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของ JY AIR ขณะที่เรื่องของช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ แมคเฟอร์สัน ด้านหลัง 5 ลิงค์ ก็จัดการได้ค่อนข้างดี การเดินทางทั่วไป รถนิ่งใช้ได้แม้จะใช้ความเร็วค่อนข้างสูง
การคุมรถทางตรง ทางโค้ง ทำได้ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ แต่ติดอยู่เล็กน้อยในช่วงทางที่เป็นคลื่นเป็นลอน จังหวะขึ้นลงของตัวรถมีมากไปสักหน่อย ทำให้นั่งไม่สบายตัว หรือช่วงทางโค้งหากเจอกับพื้นผิวที่ไม่เรียบทำให้เกิดจังหวะเด้งได้
แต่โดยรวม ๆ แล้วถือว่าขับได้ดีครับ แต่คิดว่าหากปรับความหนืดของช็อค แอบซอร์เบอร์สักหน่อยก็น่าจะดี
ส่วนการควบคุมระบบที่เกี่ยวกับการขับขี่อื่นๆ พวงมาลัยปรับน้ำหนักได้ การชาร์จคืนพลังงานมี 3 ระดับ ผมเลือกระดับกลางที่ดูเป็นธรรมชาติ ให้อารมณ์ขับขี่เป็นธรรมชาติ
ส่วนออปชั่นหลัก ๆ สำหรับ Plus เช่น ตัวกรองอากาศพีเอ็ม 2.5 กล้อง 360 องศา พร้อมระบบแสดงภาพตัวรถแบบโปร่งแสง กุญแจ NFC เบาะหน้าปรับได้ 6 ทิศทาง ประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้า
ระบบความปลอดภัและช่วยเหลือการขับขี่ ADAS เลเวล 2+ เช่นระบบควบคุมความเร็วอัตโนม้ติ ระบบรักษาระยะห่างจากคันหน้า ระบบช่วยจอด ระบบเตือนจุดอับสายตม ระบบรักษาช่องทาง เตือนการออกนอกช่องทาง ระบบรักษารถให้อยู่ในช่องทาง หรือระบบควบคุมการเปลี่ยนเลน เป็นต้น แต่สามารถปิดได้หากไม่ถนัดจะใช้งานครับ