“ปอร์เช่ 911” อยากสนุก ต้องคันนี้
911 เป็นรถสปอร์ตที่หลายคนอยากขับขี่ ด้วยบุคลิกเฉพาะตัวที่โดดเด่น และยังเป็นรถสปอร์ตที่สามารถขับขี่ได้ทุกวัน ที่อยู่ของมัน คือ ท้องถนน ไม่ใช่โรงจอดรถในบ้าน
911 โฉมใหม่ รหัสตัวถัง 992 เปิดตัวในเวทีโลกครั้งแรก เดือน พ.ย. 2561 หลายคนอาจจะบอกว่ามันดูคล้ายๆ ตัวเดิม แต่จริงๆ แล้วมันเปลี่ยนแปลงจากเดิมไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา (ขนาด หรือว่าเทคโนโลยี แต่ยังคงกลิ่นอายความคลาสสิคที่ผู้ชื่นชอบรถสปอร์ตหลงใหล
ทั้งนี้รูปร่างหน้าตานั้นจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในด้านหลังมากกว่า แต่ด้านหน้าก็ปรับให้ดูโฉบเฉี่ยวขึ้น ส่วนด้านข้างมองเผินๆ ก็อาจจะดูเหมือนเดิม แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นแนวทางที่ปอร์เช่ใช้ คือ อะไรที่ดี ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน แต่ขอปรับดีกว่า ปรับให้ดีกว่าเดิม มีรายละเอียดมากกว่าเดิม ซึ่งไม่บ่อยนักหรอกที่จะเห็นรถรุ่นเก่ารุ่นใหม่ มีกลิ่นอายความคล้ายคลึงกัน โดยที่ตลาดยอมรับและชื่นชอบอีกต่างหาก
ตัวถังมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม โดยความยาวเพิ่มขึ้นมา 20 มม. ความกว้างด้านหน้าเพิ่ม 45 มม. ด้านหลังเพิ่ม 44 มม. แต่ความสูงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 4 มม.เท่านั้น ส่วนระยะฐานล้อเท่ากับรุ่นเดิม โครงสร้างตัวถังดูลื่นไหล พร้อมทะยานไปข้างหน้า บวกกับความบึกบึนถ่ายทอดอารมณ์สปอร์ตเต็มที่ โป่งล้อหลังเห็นชัดเจน มันยัดล้อขนาด 305/30 R21 เอาไว้อย่างลงตัว ส่วนด้านหน้าเป็นยางขนาด 245/35 R20
ขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้น แต่ว่าน้ำหนักของมันกลับลดลงไป 12 กก. เป็นผลมาจากการใช้วัสดุอย่างอะลูมีเนียม ในหลายๆ ส่วน รวมๆ ใช้กว่า 60% ของวัสดุทั้งหมด จากรุ่นแค่ 30 กว่าๆ เท่านั้น รวมถึงเฉพาะประตูทั้ง 2 บาน ซึ่งก็ยังมีผลทำให้การเปิด-ปิด ดูนุ่มนวลมากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ระบบช่วงล่างก็เป็นส่วนหนึ่งที่ลดน้ำหนักลงไปอีกด้วย
แต่การที่ใช้อะลูมิเนียมตั้งมากมาย แต่น้ำหนักก็ไม่ได้ต่างจากตัวเดิมมากนัก ก็เพราะปอร์เช่ เอาโควต้าน้ำหนักที่ลดลงไปใส่ไว้กับเกียร์ พีดีเค ใหม่ ที่เปลี่ยนจาก 7 สปีดในรุ่นเดิม เป็น 8 สปีด ลูกเกียร์ใหญ่ขึ้น น้ำหนักก็ตามา แต่ก็แลกกับประสิทธิภาพการขับขี่ที่ดีขึ้น
เครื่องยนต์ยังใช้ตัวเดิม แต่ปรับแต่งใหม่ ให้มีสมรรถนะที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ นอน ขนาดความ 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 450 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที เพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 30 แรงม้า แรงบิด 530 นิวตันเมตร ที่ 2,300-5,000 รอบ/นาที ซึ่งแรงบิดก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน 30 นิวตันเมตร ด้านสมรรถนะจากข้อมูลบริษัท อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 3.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 308 กม./ชม.
นอกจากพละกำลังที่เพิ่มขึ้นแล้ว ปอร์เช่ ก็ยังทำได้ดีกับเรื่องของอากาศพลศาสตร์ โดยมีค่า ซีดี อยู่ที่ 0.29 และออกแบบให้ช่องลมด้านหน้า เปิด-ปิด ได้ตามความเหมาะสมกับการใช้งาน หากต้องการลมระบายความร้อน ก็จะเปิดออก แต่ถ้าไม่ต้องการก็ปิด ช่วยให้อากาศพลศาสตร์ดีขึ้น แต่ถ้าขับเร็วๆ ก็จะเปิดเพื่อเพิ่มแรงกดด้านหน้า
ส่วนด้านหลัง มีสปอยเลอร์ที่ออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของตัวถัง โดยการขับขี่ความเร็วไม่ถึง 90 กม./ชม. วันก็จะซ่อนตัวอย่างเงียบๆ เรียบไปกับตัวถังด้านหลัง เหมือนปลาหมึกยักษ์พรางตัวไปกับก้อนหิน และพื้นทราย รอเวลาจูโจม เมื่อถึงเวลาเหมาะสม
นั่นก็คือ หากเรากดกคันเร่งแค่เบาๆ แล้วความเร็วพุ่งขึ้นไปที่ 90 กม./ชม. มันจะโผล่ออกมา เพื่อเพิ่มแรงกดให้รถสำหรับการยึดเกาะถนนที่ดีขึ้น และหากเราขับยังคงสนุกสนานกับคันเร่ง จนเข็มไมล์ตวัดเกิน 170 กม./ชม. มันจะปรับองศาเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มแรงกดมากขึ้น
ปอร์เช่ จัดกิจกรรมทดสอบ 911 ที่เมืองอ็อคแลนด์ นิวซีแลนด์ ดินแดนที่หลายคนอยากไป เพราะวิวทิวทัศน์สวยงาม และถนนหนทางก็สวยงามเช่นเดียวกัน
หลายปีก่อน ผมเคยมาที่นี่ 1 ครั้ง เป็นการเดินทางมาทดสอบรถนี่แหละครับ ครั้งนั้น เป็นการขับ มาสด้า ซีเอ็กซ์ -5 ก่อนเปิดตัวในไทย และเป็นการขับยาวๆ กว่า 900 กม. จากเหนือลงใต้ของเกาะเหนือ เริ่มจากอ๊อคแลนด์ไปสิ้นสุดที่เวลลิงตัน และแวะค้างแช่น้ำร้อนนอนพอกโคลน 1 คืนที่ โรโตรัว
ครั้งนั้นผมรู้สึกทึ่งกับคนขับรถบรรทุกนิวซีแลนด์มาก เพราะเขาขับด้วยความเร็วตามกฎหมายกำหนดเท่าๆ กับรถเล็กๆ ทั่วไป แบบดูสบายๆ ดูไม่หวาดเสียว ซึ่งไม่ใช่บนไฮเวย์นะครับ ผมหมายถึงเส้นทางบนเขา ซึ่งก็คงต้องชมทั้งคุณภาพของรถ และผู้ขับที่คงต้องฝึกอบรมกันอย่างเข้มข้นทีเดียว
แต่ครั้งนี้ไม่ได้ขับกันไกลขนาดนั้นครับ ระยะทางรวมประมาณ 170 กม. จากตัวเมืองขึ้นไปทางเหนือ แวะทานข้าวกลางมัน ก่อนย้อนกลับลงมา
911 เป็นรถสปอร์ต ที่ออกแบบภายในห้องโดยสารให้นั่งได้สบาย ไม่อึดอัด เบาะนั่งมีขนาดกำลังดี และเข้ากับรูปทรงของผู้ขับขี่ที่ขนาดร่างกายต่างกันได้ จากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนอื่น และในกลุ่มเรามีน้องที่ตัวใหญ่ยักษ์อยู่คนหนึ่ง เขาก็ไม่ได้บ่นว่านั่งอึดอัดแต่อย่างใด
นอกจากนี้ผมว่าการออกแบบรูปทรงของเบาะ และตำแหน่ง เอื้อต่อการขับขี่ที่ดี เพราะมองเห็นรองด้านได้ชัดเจน แม้จะป็นรถสปอร์ตเตี้ยๆ ตำแหน่งควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งพวงมาลัย เบรก คันเร่ง ทำได้ดี และเมื่อนั่งกันไปนานๆ ก็ไม่ทำให้รู้สึกเมื่อยล้า
การออกแบบภายใน ดูเรียบง่าย แต่สวยงาม เป็นการดึงเอาอารมณ์ของรถก่อนหน้าที่ย้อนหลังไปหลายสิบปี มาคลี่คลายใหม่ ให้ร่วมสมัยกับยุคปัจจุบัน เรียบๆ แต่ไม่เชย ไม่เกะกะสายตา
คอนโซลหน้า เลือกใช้เส้นแนวนอนเป็นตัวคุมอารมณ์หลัก ลากยาวระหว่างด้ด่านซ้าย-ขวา มาตรวัดทรงกลม จอเป็นแบบ ทีเอฟที แอลซีดี แต่ว่าตัวเข็มยังใช้เข็มจริงๆ ไม่ใช่เข็มดิจิทัล รักษาอารมณ์เก่าๆ และคนที่ชื่นชอบอารมณ์แบบเดิมๆ ไว้บ้าง พวงมาลัยขนาดกำลังดี มีปุ่มควบคุมระบบการทำงานต่างๆ
คันเกียร์ขนาดเล็กระทัดรัด รูปทรงสี่เหลี่ยม ลบสันคมทิ้งไป ช่วยให้คอนโซลเกียร์ดูโปร่งโล่ง ส่วนปุ่มควบคุมระบบการขับขี่ ก็อยู่ในตำแหน่งที่ง่ายต่อการปรับเปลี่ยนขณะขับขี่
ทีมงานนิวซีแลนด์ ก็คงเข้าใจดีว่า เมื่ออยู่หลังพวงมาลัยรถสปอร์ตื่อดังระดับโลก แต่ต้องอยู่กับข้อจำกัดความเร็วของรัฐที่ 100 กม./ชม. คงจะอึดอัดพอพควร ดังนั้นเขาจึงเลือกเส้นทางส่วนใหญ่เป็นทางสายรอง ผ่านชนบท หมู่บ้าน ทุ่งปศุสัตว์ ป่าเขา เอาไว้ให้ลองกัน
แต่จะว่าการขับขี่ทบนไฮเวย์แม้จะทำอะไรไม่ได้มากกับเครื่องยนต์ นอกจากลองอัตราเร่งช่วงต้นๆ กับช่วงกลางๆ แต่ก็ทำให้รู้ถึงการตอบสนองที่รวดเร็ว กดคันเร่งแป๊บเดียว มันก็พุ่งไปจนถึงลิมิตแล้ว ทำให้รู้ว่ามันกระฉับกระเฉงแค่ไหน และตัวเลข 0-100 กม./ชม. ที่ระบุ 3.5 วินาที ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องพิสูจน์ว่าทำได้หรือไม่ได้
เมื่อออกจากถนนหลัก ลัดเลาะไปเส้นทางชนบท ผ่านหมู่บ้าน ป่าเขา ทุ่งปศุสัตว์ แม้ว่าการจำกัดความเร็วไม่เปลี่ยนแปลง สูงสุดก็ 100 กม./ชม. และมีบางช่วงที่ต้องต่ำกว่านั้น โดยเฉพาะเมื่อผ่านเขตชุมชน
ข้อจัดความเร็วไม่เปลี่ยน แต่ถนนที่เปลี่ยนไป ช่วยให้เรียนรู้สมรรถะของ 911 ได้มากขึ้น
แต่จริงๆ แล้วเรื่องความเร็วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะต้องไปกดคันเร่งกันแหลกลาญ เพราะเชื่อขนมกินได้อยู่แล้วว่า 911 มันทำได้แน่ และทำได้ดีเสียด้วย แต่การขับขี่เพื่อดูประสิทธิภาพการควบคุม การทรงตัว ยึดเกาะถนนเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากกว่า
ถนนเล็กๆ คดเคี้ยว กับความเร็วระดับ 70-100 กม./ชม. ช่วยปลุกอารมณ์สปอร์ตให้พลุ่งพล่านได้ทั้งรถทั้งคน แม้บางช่วงจะมีโค้งแคบๆ ลึกๆ และถี่ๆ เรียกว่าเป็นเขาพับผ้าที่พับไปพับมา และบางช่วงก็ดูชื้นๆ จากละอองฝนที่ลงมาบางช่วง
เส้นทางเหล่านี้เมื่อตามองเห็นทางข้างหน้าพร้อมกับเข็มวัดความเร็วที่หน้าปัดรถ ก็ชวนให้หวาดเสียวไม่น้อย แต่เมื่อ 911 แหย่หน้าเข้าไป ล้อเริ่มเลี้ยวไปตามเส้นทาง ก็ทำให้เรารู้ได้ในทันทีว่า มันจะผ่านเส้นทางเหล่านี้ได้ไม่ยาก และก็เป็นไปตามนั้น และหลังจากนั้นโค้งอื่นๆ ที่ตามมา ก็กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ในทันที
ไม่ได้พูดเกินเลยครับ เส้นทางที่ดูเหมือนจะยาก แต่ 911 ทำให้มันเป็นเรื่องง่าย รถมีความแม่นยำสูง ตัวถังแทบจะขนานกับพื้นถนนตลอดเวลา ไม่มีความรู้สึกยวบ โยนแต่อย่างใด พวงมาลัยแม่นยำ ทำให้การขับนอกจากสนุกแล้วยังรู้สึกสบาย เพราะแค่หมุนพวงมาลัยไปซ้ายทีขวาทีแล้วก็ซ้ายอีกที ขวาอีกที ฯลฯ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
และแม้จะใช้ความเร็วไม่น้อยกับเส้นทางแบบนี้ แต่แทบจะไม่ได้ยินเสียงยางทะเลาะกับถนนแต่อย่างใด ต้องยอมรับ การตั้งช่วงล่างมาได้ดี และพวงมาลัยที่แม่นยำมากๆ
ทั้ง 2 รุ่น ให้ความรู้สึกต่างกันเล็กน้อย คาร์เรร่า 4 เอส ซึ่งเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ผ่านไปแบบนิ่งๆ นุ่มๆ ส่วน คาร์เรร่า เอส ให้ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าสำหรับผู้ขับมากกว่า เพราะจับความรู้สึกเหมือนกันว่าล้อหลังก็อยากจะเถลไถลเป็นเด็กซุกซนบ้าง แต่ระบบช่วงล่างทำให้มันทำได้คิดและเริ่มต้นทำได้นิดๆ หน่อยเท่านั้น จากนั้นก็จัดการเรียกมาอยู่ในร่องในรอย
911 มี โหมดขับขี่ให้เลือกทั้ง Normal , Sport, Sport + ,Individual และ WET แต่บอกตรงๆ ครับว่า แค่ Normal ก็ไปได้ทุกเส้นทางได้สนุกแล้ว แต่ถ้าคิดว่าไม่พอ และต้องการการตอบสนองที่รวดเร็วขึ้น ก็ขยับไป Sport หรือ Sport+ ซึ่งนอกจากเรื่องของเครื่องยนต์ก็ยังปรับเพิ่มความแข็งของช่วงล่างมากขึ้น รองรับการโลดแล่นในโค้งได้ดีขึ้น
ส่วน WET จะทำงานช่วยในการขับขี่บนพื้นที่เปียก โดยติดตั้งไมโครโฟนไว้ที่ซุ้มล้อหน้า เพื่อฟังเสียงน้ำ โดยประมวลความแตกต่างของเสียงที่เกิดขึ้นว่า น้ำมากน้อยแค่ไหน และความเร็วในช่วงนั้นเป็นอย่างไร เพื่อปรับรูปแบบการขับขี่ให้เหมาะสม เรียกว่าฉลาดไปอีกขั้น
การใช้ไมโครโฟนฟังเสียง ก็ทำให้รับรู้มูลจริงในเวลาจริง และสถานที่จริง คือที่ล้อหน้า ซึ่งต้องสัมผัสกับเส้นทางก่อนใคร ซึ่งบางทีอาจจะไม่มีฝนตก แต่มีน้ำขัง มันก็จะจับข้อมูลได้ ก่อนแจ้งแนะนำผู้ขับ ย้ำว่าแนะนำนะครับ ไม่ได้ปรับให้อัตโนมัติ อยู่ที่ว่าผู้ขับจะเชื่อ และทำตามหรือไม่
ซึ่งโหมด WET ก็จะปรับการทำงานหลายอย่างให้เหมาะสม ทั้งช่วงล่าง การตอบสนองของเครื่องยนต์ รวมไปถึงเกียร์ ที่พยายามอยู่เกียร์สูงๆ เอาไว้ เพราะหากเป็นเกียร์ต่ำ โอกาสที่จะเกิดแรงกระชาก เมื่อเหยียบคันเร่งมีมากกว่า ทำให้โอกาสรถเสียหลักมีมากกว่า
ส่วนรถใครที่ไม่มีระบบนี้ ก็เอาหลักการไปใช้ได้ครับ การขับขี่ช่วงพื้นเปียกๆ ก็อย่าพยามยามใช้ความเร็วสูง อย่าพยายามเปลี่ยนความเร็วกระทันหัน ไม่ว่าเร่งหรือเบรก
ผ่านไปสักพักใหญ่ เส้นทางข้างหน้าก็เริ่มเปลี่ยนจากป่าเขา เป็นเส้นทางผ่านทุ่งผ่านเนินหญ้า สวยงาม ทำให้รู้สึกว่าเส้นทางบนเขามันสั้นไปหรือเปล่า แต่นั่นเป็นความคิดผู้ขับครับ ส่วนอีกคนที่นั่งมาด้วยในตำแหน่งผู้โดยสารด้านหน้า ไม่คิดว่ามันสั้นไป
สรุปสั้นๆ เจ้าสปอร์ตที่ครองใจคนทั่วโลกคันนี้ สั้นๆ ก็คือ มันเป็นรถที่มีความสมดุลสูงมาก ทั้งกำลังเครื่องยนต์ เกียร์ พวงมาลัย เบรก และเป็นรถสปอร์ตที่สามารถใช้งานได้ทุกวัน และเป็นรถที่จะขับกินลมก็ได้ หรือจะรีดกำลัง เรียกความดุดัน มันก็พร้อมจะตอบสนองโดยไม่มีอิดออดแต่อย่างใด
***