เบนซ์ "จีแอลซี เฟซลิฟท์" โฉบเฉี่ยว สมรรถนะลงตัว
ช่วงนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ขยับตัวเยอะทั้งกิจกรรมและสินค้า ที่มีสินค้าออกมาเสริมตลาดอยู่เรื่อยๆ รวมถึงกลุ่มรถ เอสยูวี ที่ล่าสุดแนะนำ จีแอลซี 220d ประกอบในประเทศ หรือ ซีเคดี
จีแอลซี 220 ดี ซีเคดี มีราคาที่น่าสนใจทีเดียว 3.04 ล้านบาท ซึ่งใครจะซื้อก็ซื้อได้ แต่ถ้าใครต้องการรุ่นเฟซลิฟท์ ที่เปิดตัวเรียบร้อยแล้วในตลาดโลก บ้านเราน่าจะมาในช่วงปลายปี
จีแอลซี เริ่มทำตลาดในปี 2558 และได้รับการตอบรับที่ดี เป็นหนึ่งในรถคอมแพคท์ พรีเมียม เอสยูวี ที่ได้รับการตอบรับที่ดี ซึ่งก็มาจากตัวรถเอง ทั้งรูปทรง สมรรถนะ หรือว่าความคล่องตัว
และสำหรับรุ่นเฟซลิฟท์ ผมว่าเขาปรับรายละเอียดต่างๆ ได้น่าสนใจ หน้าตาดูลงตัวมากขึ้น ได้ทั้งความสวยงาม หรูปรา และสปอร์ต ผสมกันไป และเมื่อเร็วๆ นี้ ค่ายรถจากสตุทการ์ท ขนรถไปแฟรงก์เฟิร์ตรองรับกิจกรรมการทดสอบขับขี่ของสื่อมวลชนทั่วโลก
จีแอลซี ปรับโฉมไปจากเดิมพอควร รูปทรงดูล้ำสมัยขึ้น แต่ไม่โอเวอร์ ดูลงตัวมากขึ้น ในมุมมองผมคิดว่ามันได้ทั้งความหรูหรา และสปอร์ต โดยปรับปลี่ยนไฟหน้าใหม่ เปลี่ยนกระจังหน้าใหม่ ไฟท้ายรูปทางใหม่ และรูปทรงโดยรวมด้านท้ายดูหนักแน่น และสอดรับกันดี ตั้งแต่ท่อไอเสีย กันชน ฝาท้าย และไฟท้ายที่ดูกระชับขึ้นและใช้รายละเอียดของดวงไฟแอลอีดี เป็นลูกเล่น เหมือนมีแพทเทิร์นในโคมไฟ
ทั้งนี้เมื่อมองในภาพรวมด้านท้ายทั้งหมดเรียกว่าเก็บงานได้ละเอียด ไม่มีตัวหนึ่งตัวใดดูรกตา สวยขึ้นชัดเจน แต่ส่วนที่ดูคล้ายเดิมที่สุดก็คือมุมมองด้านข้าง แต่ก็ผมก็ชอบบันไดข้าง นอกจากเพิ่มความสะดวกในการขึ้นลง ยังเพิ่มความลงตัวของรูปทรงมากขึ้น และก็ต้องชมอีกอย่างว่า ทีมงานออกแบบเชื่อมอารมณ์ของรถให้ต่อเนื่องรอบคันได้ตั้งแต่หน้า ข้าง ไปถึงด้านหลัง ทั้งด้วยรูปแบบ และวัสดุสีเงินในจุดที่ควรจะใช้
สำหรับการประหยัดเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น นอกจากการพัฒนาเครื่องยนต์แล้ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังบอกว่าเป็นผลมาจากค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ดี ซึ่งค่าซีดี ของ จีแอลซี เฟซลิฟท์ คันนี้อยู่ที่ 0.31
ห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งสบาย เบาะนั่งนุ่ม และกระชับลำตัว ช่วยได้มากเมื่อต้องขับผ่านป่าเขา ตำแหน่งอุปกรณ์ ปุ่มควบคุมต่างๆ ใช้งานคล่องตัว
มอนิเตอร์ ปรับเปลี่ยนใหม่ เพิ่มสัดส่วนความยาว ทำให้ดูเพรียวขึ้น สปอร์ตขึ้น จากรุ่นเดิมที่ดูป้อมๆ ทำให้เหมือนถูกคอนโซลหน้าข่มไว้ในตัว แต่ตัวใหม่ทำให้ภาพรวมดูสมดุลมากขึ้น ให้ภาพ ให้ข้อมูลชัดเจน แม้ขับขี่ในเวลากลางวันที่แสงแดดจ้า
แต่จริงๆ แล้วโดยรวมไม่ค่อยชอบคอนโซลกลางช่องใต้จอมอนิเตอร์ ลากยาวลงมาถึงคอนโซลเกียร์สักเท่าไร มันดูใหญ่ๆ ตันๆ ไปสักหน่อย ขณะที่กล่องเก็บของคอนโซลเกียร์ออกแบบให้ใหญ่ และเป็นที่พักแขนที่ดีของทั้งคนขับ และผู้โดยสารด้านหน้า
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น แบบ ดี-เชพ สวยงาม ขนาดกำลังดี จับได้ถนัดมือ การปรับตำแหน่งพวงมาลับ รวมกับตำแหน่งแป้นเหยียบต่างๆ ทำได้ง่าย
ทัศนวิสัย โดยรวมถือว่าดีเลยทีเดียว มองเห็นชัดรอบคัน และยังมีตัวช่วยอย่างระบบกล้องรอบทิศทางเข้ามาเสริมอีกด้วยครับ
ผมเดินทางถึงแฟรงก์เฟิร์ตก่อนขับ 1 วัน จึงมีเวลาไปเดินเตร็ดเตร่ในเมืองในวันที่อากาศอุ่นๆ ทำให้นึกถึงเมื่อ 4 ปีก่อน กับการมาทดสอบ จีแอลซี นี่แหละ เริ่มต้นที่บาเซิล สวิตเซอร์แลนด์ ด้วยเหงื่อท่วมตัว ยุโรปนี่ถ้าร้อนก็เอาเรื่องทีเดียว ไม่แปลกใจที่เมื่อผ่านแม่น้ำ เห็นฝรั่งลอยคอคลายร้อนกันเต็มไปหมด
แต่วันรุ่งขึ้น ที่ขับรถออกไปนอกเมือง อากาศกลับหนาวซะอย่างนั้น
ที่แฟรงก์เฟิร์ต รถที่จอดรออยู่มี จีแอลซี 300ดี 4 เมติก และเมอร์เซเดส เอเอ็มจี จีแอลซี 63 จอดรออยู่ ทั้ง 2 ตัวถัง คือธรรมดา กับคูเป้ แน่นอนว่าแม้จะอยากสนุกกับ เอเอ็มจี แต่ก็ตัดสินใจเลือก 300d ก่อน เพราะว่ามันใกล้เคียงกับรถที่จะเปิดตลาดในบ้านเรา นั่นคือ 220d แต่ไม่มีให้ลองในวันนี้
300d ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลืองจากข้อมูลโรงงานระบุไว้ 5.7-5.9 ลิตร/100 กม. หรือประมาณ 16.9-17.5 กม./ลิตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม. เป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ให้ดีขึ้น ทั้งกำลัง และอัตราสิ้่นเปลือง ทำงานร่วมกับเกียร์ 9จี โทรนิค พร้อมระบบการเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเอง
เส้นทางช่วงแรกเกือบๆ 100 กม. มุ่งหน้าไปยังสนามออฟโรด ผ่านเส้นทางออโต้บาห์นระยะหนึ่งก่อนตัดออกสู่ถนนสายรอง ผ่านชุมชน ป่าเขา เพิ่มอรรถรสในการขับและหาคำตอบเกี่ยวกับการควบคุมรถ การทรงตัว การยึดเกาะถนน
แม้จะเป็นรถเอสยูวี มีน้ำหนักมาก ตัวถังสูง และแน่นอนระยะห่างจากถนนถึงใต้ท้องรถก็สูงตามไปด้วย เพื่อรองรับการขับขี่แบบออฟโรด แม้จะไม่น่ามีใครเอาไปลุยก็ตาม โดยเฉพาะในไทย แต่องค์ประกอบเหล่านี้ไม่มีผลต่อการควบคุมรถ มันให้ความคล่องตัวไม่ต่างไปจากรถซีดานดีๆ สักคัน
การขับขี่บนออโต้บาห์น การตอบสนองของเครื่องยนต์ไม่เป็นปัญหา เรียกก็มาตามที่ต้องการ และถนนช่วงที่ผมขับ สลับกันไปมีทั้งจำกัดความเร็ว และปล่อยกันเต็มที่ ทำให้เปลี่ยนความเร็วบ่อยครัั้ง และรู้ได้ถึงความตื่นตัวของเครื่องยนต์ที่พร้อมรับคำสั่งเมื่อเท้ากดลงไปที่คันเร่ง แม้เพียงเบาๆ ก็ตาม
เท่าที่โอกาสอำนวย เช้านี้ ผมกดไปเบาๆ ประมาณ 190 กม./ชม. ซึ่งเป็นเรื่องง่ายของเครื่องยนต์ที่ไล่ความเร็วขึ้นไป และพบจุดเด่นอีกอย่างคือการเปลี่ยนเกียร์ที่ลื่นไหล นุ่มนวล และความเงียบในห้องโดยสารที่ทำได้ดี
ถนนเส้นรองที่ส่วนใหญ่เป็นถนน 2 เลนสวนทาง คดโค้งไปมาผ่านภูมิประเทศที่หลากหลาย ทั้งป่าสน ทุ่งหญ้า พื้นที่เกษตรกรรม และชุมชน ช่วยถ่ายทอดอารมณ์ของรถได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะความคล่องตัว และความแม่นยำ
ผมชอบถนนยุโรป เป็นถนนเล็กๆ แต่ผิวถนนดี และมั่นใจได้ว่า 2 ข้างทาง จะไม่ค่อยมีอะไรที่พิสดารโผล่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หรือสิงสาราสัตว์ต่างๆ มันช่วยให้การขับเป็นไปอย่างสนุก ยิ่งถ้าได้รถที่มีบาลานซ์ดีๆ การยึดเกาะถนนดีๆ มีความแม่นยำสูงของทั้งพวงมาลัยและช่วงล่าง แม้จะใช้ความเร็วพอควรแต่ก็ดูคล้ายกับขับกินลมชมป่าเขาสบายๆ พูดง่ายๆ คือ ขับแล้วไม่รู้สึกเครียด แม้กำลังใช้ความเร็วก็ตาม
ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้หาได้จาก จีแอลซี 300ดี 4 เมติกคันนี้ครับ
สมรรถนะของเครื่องยนต์ ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การขับขี่ในเส้นทางแบบนี้คล่องตัวขึ้น สนุกขึ้น จากการเปลี่ยนความเร็วอยู่บ่อยๆ ชะลอก่อนเข้าโค้ง และเร่งออกจากโค้งเมื่อผ่านครึ่งโค้งมาแล้ว โดยที่ตั้งเกียร์ไว้ที่ตำแหน่ง D อย่างเดียวก็พอ ไม่ต้องไปปรับเปลี่ยนเกียร์เอง เพราะเกียร์ฉลาด ตอบสนองรูปแบบการขับขี่ต่างๆ ได้รวดเร็ว ยกเว้นเมื่อต้องลงเนินชันๆ หรือรอจังหวะแซงคันอื่น ช่วงลงเนิน ก็ใช้การลดเกียร์ด้วยตัวเอง เพื่อสร้าง เอ็นจิ้นเบรกเท่านั้นเอง
โหมดการขับขี่ มีให้เลือก ECO-COMFORT-SPORT และ OFFROAD ซึ่งการขับขี่ช่วงนี้ ผมเลือก COMFORT กับ SPORT เป็นหลัก แต่ถ้าจะเอาเฉพาะ COMFORT ก็ไปไหนต่อไหนได้สบาย รวมถึงการขับขี่ในเส้นทางภูเขา
แม้จะขับไม่ไกลนัก แต่การผ่านทั้งในตัวเมือง ผ่านไฮเวย์ และทางเล็กๆ ป่าเขา ก็ได้คำตอบว่ามันพัฒนาขึ้นมาให้มีความสมดุลมากขึ้น เป็นเอสยูวีที่ขับสบาย ขับสนุก และที่สำคัญ ขับแล้วไม่เครียด ไม่เหนื่อยครับ
*****