เอ็มจี 'แซดเอส' เกียร์ใหม่ ลื่นไหลกว่าเดิม

เอ็มจี เปิดตัว “แซดเอส” รถเอสยูวีขนาดเล็ก เมื่อปี 2560 โดยครั้งนั้นเป็นการสร้างสีสันให้กับตลาดได้มากทีเดียว ทั้งเรื่องของระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่าย เมื่อเทียบกับีรถในตลาดเดียวกัน และการติดตั้งเทคโนโลยี ไอ-สมาร์ท พร้อมฟังก์ชั่นำคำสั่งเสียงภาษาไทย ซึ่งแม้ช่วงแรกๆ จะมีคำถามไม่น้อย แต่แซดเอส ก็สามารถฝ่าฟันตลาดมาได้จนยืนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนสำคัญก็คือระดับราคาที่จับต้องได้ง่าย 

ต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา เอ็มจี จัดการไมเนอร์เชนจ์ แซดเอส โดยเปลี่ยนแปลงหลายๆ ส่วน และที่สำคัญก็คือ การเปลี่ยนเกียร์ใหม่ จากเดิมใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด มาเป็น ซีวีที 8 สปีด 

ซึ่งจริงๆ แล้วในยุคที่แซดเอสเปิดตัวนั้น ก็ไม่ค่อยมีใครใช้เกียร์ 4 สปีดกันแล้ว แต่เอ็มจี ก็บอกว่ามันก็มีข้อดีคือทนทาน ดูแลรักษาง่าย 

แต่จะว่าไปแล้วหลังจากแซดเอสแล้ว มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ที่เปิดตัวในปี 2561 ก็ใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เช่นกัน

แต่อารมณ์การขับขี่เกียร์ 4 สปีด ที่ผมจำได้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรครับ ทำงานได้ค่อนข้างดี จังหวะกระตุกหรือสะดุดช่วงเปลี่ยนเกียร์ก็ไม่ได้มีให้จนรู้สึกว่าเป็นประเด็นอะไร แต่แน่นอนก็ต้องมีบ้างโดยเฉพาะเมื่อต้องการกำลังเครื่องยนต์อย่างเร่งรีบ ที่ต้องกดคันเร่งหนักๆ หรือว่าคิกดาวน์ลงไป แต่โดยรวมๆ แล้วก็ถือว่าใช้งานในชีวิตประจำวันได้ปกติ

แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็น ซีวีที 8 สปีด ก็เห็นความแตกต่างได้เช่นกัน นั่นคือความนุ่มนวลลื่นไหลที่เพิ่มขึ้น ปรับเปลี่ยนระดับความเร็วขึ้นหรือลงได้ต่อเนื่อง แต่ก็ต้องเข้าใจหลักการทำงานของมัน ค่อยๆ เติมน้ำหนักลงคันเร่ง มากกว่าการเหยียบแบบโกรธเคืองกันมา 

ซึ่งผมว่าก็ช่วยการทำงานของเครื่องยนต์ซึ่งเป็นตัวเดิมคือ เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 1.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 114 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที ได้ดี เพราะกำลังเครื่องยนต์ที่ไม่ได้สูงนัก การขับแบบกระโชกโฮกฮากอาจทำให้ดูเหมือนอารมณ์มาไม่ทันตาที่ผู้ขับต้องการ 

แต่เมื่อปรับการขับให้เข้ากับ ซีวีที ก็ดูเหมือนการทำงานของเครื่องยนต์ลื่นไหลขึ้น จังหวะเร่งแซงทำได้ จังหวะเติมความเร็วทำได้ ซึ่งผมก็ลองๆ เพิ่มน้ำหนักเท้าลงไปสักพัก ความเร็วก็ทะลุ 160 ไม่ยากอะไร

แต่นั่นเป็นการลองระยะสั้นๆ ครับ แต่การขับขี่ทั่วไป ก็ลองที่ความเร็วเดินทาง เต็มทีก่็ 120 หรือ 130 ประมาณนี้ ยกเว้นการเร่งแซงบางช่วงที่ต้องเพิ่มความเร็วบ้าง เพื่อความปลอดภัย 

ที่ความเร็วในการเดินทางทั่วไป การทรงตัวทำได้น่าพอใจ ค่อนข้างนิ่ง โดยช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ แมคเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลัง ทอร์ชั่นบีม หรือคานแข็ง ซึ่งรองรับการใช้งานได้ดี ทั้งการยึดเกาะถนนทางตรงทางโค้ง การดูดซับแรงสั่นสะเทือน รถไม่กระด้างเกินไป และไม่โดด ไม่เด้ง แม้จะต้องเจอกับคอสะพานโหดๆ หลายแห่งอย่างเส้นทางมอเตอร์เวย์ 

พวงมาลัยนั้น เอ็มจี ออกแบบให้สามารถเลือกปรับได้ 3 โหมด คือ โหมด City สำหรับการขับขี่ในเมือง โหมด Standard สำหรับการขับขี่ทั่วไป และโหมด Sport สำหรับการขับขี่สไตล์สปอร์ต ซึ่งจะเพิ่มน้ำหนักมากขึ้น รู้สึกมั่นคงในการควบคุมรถมากขึ้น 

 

แซดเอส ยังมีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ หรือ ครูส คอนโทรล ใน 2 รุ่นบน คือ D+ และ X+ ซึ่งหากทางโล่งๆ สะดวก ก็สามารถเพิ่มความสะดวกในการใช้งานได้ 

ส่วนเรื่องอื่นๆ นอกจากเกียร์ แซดเอส ไมเนอร์เชนจ์ ปรับเปลี่ยนทั้งภายนอกและภายในให้ดูทันสมัยขึ้น สปอร์ต และหรูหรามากขึ้น เช่น ปรับเปลี่ยกระจังหน้ารูปแบบใหม่ ติดตั้งไฟหน้า แอลอีดี โปรเจคเตอร์ ไฟส่องสว่างสำหรับขับขี่เวลากลางวัน และไฟท้ายแบบ แอลอีดี ล้ออัลลอยใหม่ ขนาด 17 นิ้ว ในรุ่นท็อป

ภายในใช้สีทูโทนน้ำตาล ดำ ในรุ่นกลาง และรุ่นท็อป เพิ่มวัสดุซอฟท์ ทัชหลายจุด พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น หน้าจอแสดงผลขนาด 7 นิ้ว หน้าจอทัชสกรีน 10 นิ้ว รองรับทั้งแอ๊ปเปิ้ล คาร์เพลย์ และ แอนดรอยด์ เพิ่มช่องยูเอสบีเป็น 5 ช่อง ซึ่งช่องที่ติดอยู่บนกระจกมองหลังน่าสนใจมากสำหรับใครที่ต้องการติดกล้องบันทึกการขับขี่ จะได้ไม่ต้องลากสายให้เกะกะ

ระบบปรับอากาศเป็นแบบแบบดิจิทัล มีระบบกรองอากาศฝุ่นขนาดเล็ก หรือ พีเอ็ม 2.5 เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง ในรุ่นท็อป และกล้องมองภาพรอบทิศทาง ซึ่งสามารถเลือกมุมมองได้ เป็นต้น

ปรับปรุงระบบไอ-สมาร์ท ให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มฟังก์ชั่น เช่น ระบบโทรฉุกเฉินที่จะโทรและส่งข้อความระบุตำแหน่งของรถไปยังเบอร์โทรที่ตั้งค่าไว้กรณีฉุกเฉิน และ ถุงลมในรถทำงาน ซึ่งสามารถตั้งได้ 2 เบอร์

ไอ-สมาร์ท ยังทำงานอื่นๆ ทั้งการเชื่อมต่อโลกออนไลน์ เลือกฟังเพลงได้ทั้งรูปแบบออนไลน์และสตรีมมิ่ง ระบบค้นหาร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวพร้อมการนำทางและรายงานการจราจรแบบเรียลไทม์ การอ่านข้อมูลข่าวสารต่างๆ การตรวจสอบสถานะรถยนต์และเตือนเมื่อมีสถานะผิดปกติ สั่งการล็อคหรือปลดล็อคประตูรถ ค้นหารถด้วยระบบ ไฟนด์ มาย คาร์ ช่วยค้นหาศูนย์บริการ รวมถึงการบันทึกการดูแลรักษารถ 

ซึ่งภาพรวมการปรับเปลี่ยนรายละเอียดภายใน ทั้งวัสดุ ขนาดมอนิเตอร์ และอีกหลายส่วน ก็ต้องบอกว่าดูดีทีเดียวครับ สวยงาม และดูแพง

โดยรวมแล้ว ถือเป็นรถที่น่าสนใจ กับระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่าย เริ่มต้นในรุ่น C+ 6.89 แสนบาท D+ 7.39 แสนบาท และ X+ 7.99 แสนบาท ซึ่งขยับขึ้นจากเเดิม 1 หมื่นบาททุกรุ่น ถือว่า แซดเอส น่าสนใจ เพราะรองรับการใชังานได้เพียงพอ ห้องโดยสารก็นั่งสบาย ทัศนวิสัยดี การเก็บเสียงก็อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ  อุปกรณ์ก็ใส่มาให้มาก ขับขี่ง่ายๆ สบายๆ ไม่เหนื่อยในการเดินทางแบบปกติทั่วไปครับ