เบนซ์ SUV ไปทุกที่... ที่อยากไป
มีคนเคยพูดว่า คงไม่มีใครซื้อเอสยูวีแพงๆ แล้วเอาไปขับลุยจริงๆ หรอก แต่นักการตลาดบางคนเคยพูดว่าในฐานะคนทำตลาด จะต้องทำให้ลูกค้าเห็นว่ารถของตนเองทำอะไรบ้าง อย่างน้อยก็ได้รู้ และหากถึงคราวจำเป็นจริงๆ จะสามารถใช้งานได้ถูกต้องเต็มประสิทธิภาพ
ภาพรวมตลาดในปัจจุบัน รถกลุ่ม เอสยูวี ได้รับความนิยมมากขึ้น มีรถให้เลือกตั้งแต่ราคาหลักแสนไปจนถึงหลายสิบล้านบาท
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นอีกค่ายที่มีรถเอสยูวีทำตลาดหลายรุ่น และล่าสุดยกขบวนรถทั้งหมดไปกาญจนบุรี ที่สนามกรังด์ปรีซ์ มอเตอร์ ปาร์ค เพื่อจัดกิจกรรม “Mercedes-Benz SUV Driving Experience”
รถที่นำมาขับกันครั้งนี้ประกอบด้วย จีแอลเอ 200 เออร์เบิน ค่าตัว 1.999 ล้านบาท เครื่องยนต์เบนซิน 1,595 ซีซี 156 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า จีแอลเอ 250 เอเอ็มจี ไดนามิค ราคา 2.41 ล้านบาท เครื่องยนต์เบนซิน 1,991 ซีซี 211 แรงม้า 350 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า
จีแอลบี 200 โปรเกสซีฟ ราคา 2.86 ล้านบาท เครื่องยนต์เบนซิน 3,002 ซีซี 163 แรงม้า 250 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า จีแอลซี 220 ดี ราคา 3,239 ล้านบาท และ จีแอลซี 220 ดี เอเอ็มจี ไดนามิค 3.699 ล้านบาท เครื่องยนต์ดีเซล 1,950 ซีซี 194 แรงม้า 400 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง จีแอลซี 220 ดี 4 เมติก คูเป้ เอเอ็มจี ไดนามิค 4.04 ล้านบาท เครื่องยนต์เท่ากัน แต่ขับเคลื่อน 4 ล้อ
จีแอลอี 300 ดี 4 เมติก เอเอ็มจี ไดนามิค 5.19 ล้านบาท เครื่องยนต์ดีเซล 1,950 ซีซี 245 แรงม้า 500 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ จีแอลอี 350 ดี 4 เมติก เอเอ็มจี ไดนามิค คูเป้ 7.29 ล้านบาท เครื่องยนต์ ดีเซล 2,987 ซีซี 258 แรงม้า 620 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ
จีแอลเอส 350 ดี 4 เมติก เอเอ็มจี พรีเมียม 8.859 ล้านบาท เครื่องยนต์ดีเซล 2,925 ซีซี 286 แรงม้า 600 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ
เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี จีแอลซี 43 4 เมติก คูเป้ 4.999 ล้านบาท เครื่่องยนต์ดีเซล 2,996 ซีซี 390 แรงม้า 520 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ
กิจกรรมแบ่งออกเป็น 3 โซน โซนแรกเป็นกิจกรรมฝึกสอนทักษะการขับขี่รถขับเคลื่อน 4 ล้อ โซน 2 ทวินแทรค สปีด เซอร์กิต และโซน 3 4x4 แอดเวนเจอร์ การขับออฟโรดในเส้นทางธรรมชาติ
โซนแรก รถที่ใช้เป็นกลุ่มขับเคลื่อน 4 ล้อทั้งหมด เพราะต้องใช้กำลัง และระบบการขับเคลื่อน 4 ล้อฝ่าอุปสรรคต่างๆ ที่ทางสนามสร้างไว้ เริ่มจากการขับเส้นทางหลุมสลับให้เห็นถึงการทำงานของช่วงล่างที่มีทั้งยืดทั้งยุบ ความนุ่มนวล และระบบล็อคเฟืองท้าย เพราะตลอดเวลาจะมีล้อหนึ่งล้อใดที่ไม่สัมผัสพื้นเลย
การขับในบ่อโคลน และทางโคลน ดูการควบคุมพวงมาลัย และการตอบสนองของแรงบิด เส้นทางเนินลูกระนาดดูความนุ่มนวลช่วงล่าง มุมคร่อมของรถความนุ่มนวลในการควบคุมคันเร่ง เนินเอียง 20-35 องศา ดูการทรงตัวของรถ และมุมคร่อมของรถ เพราะไม่ขับเอียงด้านในด้านหนึ่ง แต่ขับแบบสลาลอม หรือซิกซิกไปมาผ่านเนินเอียงซ้ายที ขวาที
การขับขึ้นลงเนินลาดชัน ซึ่งมีทั้งพื้นผิวซีเมนต์ และหญ้าคลุมดิน ซึ่งมีความลื่น เพื่อพิสูจน์สมรรถนะการปีนไต่ การใช้ระบบช่วยลงเนิน หรือการทำงานของเอ็นจิ้นเบรก
ถัดมาเป็นสถานีฝายทดน้ำเพื่อทดสอบแรงบิด การใช้รอบเครื่องยนต์ และเกียร์ อาจดูเหมือนไม่ยาก แต่จริงๆ ก็ไม่ง่าย เพราะพื้นผิวเป็นก้อนหินมนๆ ขนาดใหญ่เท่าไข่ห่าน เมื่อรถปักหัวลมาจากเนิน หากคุมความเร็วไม่ดี หรือใช้คันเร่งไม่ดี ล้อหน้าก็อาจตะกุยหินลื่นๆ เหล่านี้ออกไปจนล้อจม เช่นกันเมื่อจะส่งขึ้นเนินถ้าใช้คันเร่งแรงไป หรือไม่นิ่ง ล้อก็จะตะกุยก้อนหินออกจนรถติดได้เช่นกัน
การขับในบ่อน้ำความลึก 50-80 ซม. เพื่อดูถึงระดับความสามารถในการรับมือน้ำท่วมขัง ถัดมาเป็นเนินเอียงครึ่งวงกลม ต้องปีนเนิน พร้อมหักเลี้ยวในเวลา่เดียวกัน บนพื้นที่ลื่นๆ ตามด้วยการขับข้ามสะพานซุง และผ่านน้ำตก ปิดท้ายด้วยบ่อทราย
สถานีทั้งหมดนี้สนามสร้างขึ้นมา เพื่อจำลองเส้นทางออฟโรดที่จะต้องเจอ ซึ่งการจะผ่านไปให้ได้ ต้องใช้ความร่วมมือกันระหว่างสมรรถนะของรถ และทักษะของคนขับที่จำเป็นจะต้องเรียนรู้ รู้ว่าใช้พวงมาลัยออย่างไร ใช้คันเร่งอย่างไร รักษารอบเครื่องยนต์อย่างไร แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับฝูงเมอร์เซเดส-เบนซ์ ฝูงใหญ่ครับ
จากนั้นก็ไปลุยเส้นทางธรรมชาติกัน กับจีแอลอี ผ่านดงป่าดงไม้ ผ่านร่อง ผ่านเนิน ซึ่งทุกเส้นทางที่ไป ก็ไม่ยากอีกเช่นกันสำหรับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ตราดาว โดยใช้เกียร์ D เกียร์เดียว และยังทำให้รับรู้ถึงความนุ่มนวลของรถ การเก็บแรงสั่นสะเทือนของช่วงล่าง ทำให้นั่งสบายๆ เพลินๆ เสียวอย่างเดียวคือ กิ่งไม้ต่างๆในช่วงทางแคบๆ ไม่ได้เสียวว่ารถจะไปไม่ได้ แต่เสียวมันขูดสีตัวถังรถเท่านั้นเอง
ทีนี้ก็มาถึง ทวินแทรค สปีด เซอร์กิต ความยาว 3 กม. ที่น่าจะเป็นไฮไลต์ของหลายคนในกิจกรรมครั้งนี้ กับสนามที่เป็นทางฝุ่น กรวด หินลอย และใช้ความเร็วเต็มที่เท่าที่คิดว่าจะสามารถคุมรถได้ ผ่านโค้งต่างๆ รวม 10 โค้ง มีทั้งโค้งกว้าง โค้งแคบๆ และโค้งยูเทิร์น
สนามนี้ใช้รถขับเคลื่อน 2 ล้อ ทั้งจีแอลเอ และน้องใหม่ จีแอลบี ซึ่งขับเคลื่อนล้อหน้า และ จีแอลซี ขับเคลื่อนล้อหลัง โดยปิดระบบ ESP เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์ลดการส่งกำลังเมื่อรถเสียการทรงตัว
เพราะสนามนี้เราตั้งใจให้มันเสียการทรงตัว และเรียนรู้ที่จะแก้อาการบนทางลื่นๆ เช่นนี้
สนุกครับ และสนุกไปคนละแบบ จีแอลซี ขับเคลื่อนล้อหลัง ทำให้เกิดอาการโอเวอร์สเตียร์ได้ง่ายกว่า ทำให้กวาดท้ายรถออกไปเพื่อเข้าโค้งได้เร็ว จากนั้นก็แก้คืนพวงมาลัยให้รถตั้งตรงเพื่อพุ่งออกจากโค้งได้อย่างรวดเร็วต่อเนื่อง สนุกสนานกันไป
ขณะที่อีก 2 คันที่ขับเคลื่อนล้อหน้า ปิด ESP เช่นกัน อาการหน้าดื้อในโค้งมีมากกว่า การจะกวาดท้ายออกเพื่อเอาหน้าจิกเข้าโค้งทำได้ยากกว่า จีแอลซี ทางแก้คือ เพิ่มความเร็วให้มาก แล้วหักพวงมาลัยปักเข้าโค้งเร็วๆ ก็ช่วยให้ท้ายรถกวาดออกได้เหมือนกัน
สิ่งที่เรียนรู้ได้จากสนามนี้ ไม่ใช่แค่ความสนุกหรือความมันในการขับขี่เท่านั้น แต่ทำให้รู้ว่ารถมีอาการเสียการทรงตัว ท้ายรถกวาดออกไป การแก้อาการโดยไม่ต้องเบรก ไม่ต้องผ่อนคันเร่งด้วยการใช้แค่พวงมาลัย มันทำได้ง่าย เป็นจุดเด่นของรถ และจะสร้างความมั่นใจในการขับขี่ได้มากขึ้นครับ