'เลกซัส LS 500 h' นั่งสุดสบาย แต่เสียดายถ้าไม่ขับเอง
อาจจะดูเป็นรถที่มีราคาสูงกว่าคู่แข่งในตลาดเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเมอร์เซเดส-เบนซ์ หรือ บีเอ็มดับเบิลยู แต่รถอย่าง “เลกซัส” ในตระกูล “แอลเอส” ก็มีจุดขายของตัวเอง โดยเฉพาะตัวท็อปตัวนี้ “LS500h Executive Pleat” ค่าตัว 15.8 ล้านบาท
การเป็นรถนำเข้าสำเร็จรูป (CBU) ทำให้ต้องแบกรับภาระภาษีศุลกากร เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ราคาขยับขึ้นไป ขณะที่คู่แข่งเน้นทำตลาดรถประกอบในประเทศ (CKD) เป็นหลัก
สิ่งที่แอลเอส ทำให้ตัวเองแตกต่าง คือการเน้นความชัดเจนของรถพรีเมียม และเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อทำให้คนที่กำลังซื้อไม่ใช่เงื่อนไข ไม่ปฏิเสธที่จะหามาครอบครอง
หลายๆ อย่างที่ เลกซัส ใส่เข้ามาใน แอลเอส เช่น งานฝีมือต่างๆ ไล่ไปตั้งแต่สีที่พ่นเป็นพิเศษ รวมถึงมีส่วนผสมพิเศษอย่างผงอลูมิเนียม ทำให้นอกจากจะดูเงาแวววาว ก็ยังดูมีมิติ ช่วยขับตัวถังที่มีส่วนเว้าส่วนนูน ให้ดูมีความเคลื่อนไหว มีพลังมากขึ้น แม้จะจอดอยู่นิ่งๆ ก็ตาม
ผมว่าใครเป็นเจ้าของ แค่เอารถไปจอดกลางแจ้งให้มีแสงตกกระทบ และนั่งมองมันเฉยๆ ก็มีความสุขแล้ว และสำหรับผม จะเลือกมองมันจากด้านข้าง
เพราะนอกจากสีสัน และมิติตัวถัง รูปทรงด้านข้างเป็นรูปทรงที่ดูสวยงาม เพรียว ปราดเปรียวและไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้รถที่มีความยาวกว่า 5.2 เมตร ดูไม่เทอะทะเกะกะสายตา
แต่เมื่อย้ายไปมองด้านหน้า มันก็ไม่แพ้ด้านข้างนี่นา เส้นสายรูปทรงที่โฉบเฉี่ยว โดยเฉพาะโคมไฟหน้า ที่มีไฟขับขี่กลางวันวิ่งพาดผ่านตรงกลางอย่างตั้งใจ และกระจังหน้าขนาดใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญที่ใช้มายาวนาน และเช่นกัน มันออกแบบให้ดูมีความเคลื่อนไหวในตัว
ไฟหน้าแบบอแดพทีฟ แอลอีดี ให้ลำแสงชัดเจนในเวลากลางคืน และเลือกส่องและปิดลำแสงในพื้นที่ที่เหมาะที่ควรอัตโนมัติ ช่วยให้สามารถเห็นทัศนวิสัยได้กว้าง โดยไม่กวนสายตาผู้อื่น เช่น มีรถด้านหน้า ก็จะไม่ส่งลำแสงไปที่รถคันนั้น แต่ส่งไปด้านข้าง ด้านหลัง ที่สำคัญคือ ทำงานได้เร็วฉับไว ไม่ต้องรอให้รถเข้าใกล้ หรือ ต้องให้คันอื่นยกไฟเตือนมาก่อนแต่อย่างใด
หรือช่วงโค้ง ลำแสงก็จะยิงเข้าไปในโค้งก่อนตามการหมุนพวงมาลัย หรือ เลี้ยวทางแยก เลี้ยวเข้าซอย ก็จะมีไฟเสริมให้ทำให้เห็นเส้นทางที่จะไป ช่วยให้ขับขี่ง่ายขึ้น ปลอดภัยยิ่งขึ้น
จุดขายเฉพาะตัวอีกอย่างที่แฟนๆ แอลเอส ชื่นชอบคือภายในห้องโดยสาร บริเวณแผงประตูที่จะไม่ได้เห็นในรถยี่ห้ออื่นก็คือ การตกแต่งด้วยผ้าสีแดงจับกลีบ มันพิเศษที่เป็นงานแฮนด์เมด พับด้วยมือ ศิลปะ "Origami"
เช่นเดียวกับกระจกแต่งลาย ที่หลายคนอาจคิดว่าออกมาจากโรงงานผลิตกระจกชั้นดี แต่จริงๆ แล้วมันเป็นงานแฮนด์เมดจากช่างฝีมือระดับสูงจากญี่ปุ่น ดังนั้นรถแต่ละคันก็มีชิ้นส่วนเฉพาะของตัวเองที่ไม่เหมือนคันอื่น แม้ว่าจะดูเหมือนกันก็ตาม ด้วยความเป็นสุดยอดฝีมือการแกะลายนั่นเอง
LS500h Executive Pleat มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง นั่งสบายในทุกตำแหน่ง ตั้งแต่ผู้ขับ ผู้โดยสารด้านหน้า และแน่นอนผู้นั่งเบาะหลังที่มีพื้นที่เหลือเฟือทั้งพื้นที่วางเท้า พื้นที่ว่างช่วงเข่า โดยที่สามารถปรับเบาะให้เลื่อนหน้า-หลัง หรือปรับเอนพนักพิงได้
ส่วนกรณีที่นั่งเบาะหลังด้านซ้าย แล้วไม่มีผู้นั่งที่เบาะด้านหน้า สามารถปรับเอนนอนได้จนเกือบจะเหมือนนอนอยู่เตียงนอนที่บ้านเลยทีเดียว โดยเมื่อกดสวิทช์สั่งการ มันเลื่อนเบาะหน้าออกไปชิดกับคอนโซลหน้าที่สุด และพับพนักพิงศีรษะลง ซึ่งทำให้ไม่บดบังกระจกมองข้างด้านซ้ายสำหรับผู้ขับขี่จากนั้นก็ปรับเบาะหลังไปด้านหน้า พร้อมเอนพนักพิงลงเกือบสุด
บวกกับช่วงล่างที่นุ่มนวล และการเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกที่ทำได้ดี เล็ดลอดเข้ามาน้อยมากแม้จะใช้ความเร็วสูงก็ตาม ทีนี้ก็นอนกันยาวๆไป หรือจะเปิดดีวีดีดูผ่านหน้าจอที่ติดตั้งหลังเบาะหน้า หรือจะฟังเพลงที่ส่งเสียงคุณภาพดีจากเครื่องเสียงมาร์ค เลวินสัน ที่ส่งเสียงผ่านลำโพง 23 ดอก และให้เสียงเป็นธรรมชาติ มีมิติเสียง
ส่วนอุณหภูมิในห้องโดยสารแบ่งเป็น 4 โซน สำหรับ 4 ที่นั่ง ปรับเอาตามความชอบของแต่ละคนได้เลย และยังมีระบบตรวจวัดอุณหูมิภายนอกเพื่อปรับอุณหภูมิภายให้เหมาะสมอีกด้วย
สำหรับผู้ขับขี่ มีการแสดงข้อมูลการขับขี่ที่กระจกบังลมหน้า หรือเฮดอัพ ดิสเพลย์เพื่อจะได้ไม่ต้องละสายตาจากถนน เห็นชัดเจนแม้จะใช้งานในช่วงเวลากลางวันที่แสงแดดจ้า โดยผู้ขับสามารถปรับความเข้มของแสงได้เอง
ระบบการขับขี่มีหลายโหมดให้เลือกตามความชอบ และความเหมาะสมกับเส้นทาง แต่จะโหมดไหนก็สนุกและมั่นใจได้ และเมื่อจะถอยจะมีระบบช่วยเหลือทั้งเซ็นเซอร์ และกล้อง 360 องศา และหากไม่มีผู้นั่งเบาะหลัง เมื่อใส่เกียร์ถอยหลัง มันจะเอนเบาะหลังลง ลดพนักพิงศีรษะลง เพื่อเพิ่มทัศนวิสัยให้ผู้ขับขี่
มีระบบเสริมความปลอดภัย เช่น
- เรดาร์ ทำงานร่วมกับกล้องตรวจจับด้านหน้า หากพบสิ่งกีดขวางก็จะส่งสัญญาณเตือนไปที่ผู้ขับขี่ หรือสั่งให้ระบบช่วยเบรกทำงานหากมีความเสี่ยงที่จะชนและผู้ขับขี่ไม่ตอบสนอง
- ระบบรักษาช่องทาง
- อแดพทีฟ ครูส คอนโทรล รักษาระยะห่างจากคันหน้า
- ระบบเปิดฝาท้ายด้วยเซ็นเซอร์ใต้กันชน
- ติดตั้งถุงลมเต็มคัน ทั้งด้านหน้าด้านหลัง ป้องทั้งทั้งลำตัว ศีรษะ เข่า เป็นต้น
LS500h Executive Pleat เป็นรถที่มีขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักไม่น้อย คือ 2,350 กก. แต่การขับขี่ใช้งาน กลับคล่องแคล่ว จากระบบไฮบริดที่ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน วี 6 ขนาด 3.5 ลิตร กับมอเตอร์ไฟฟ้า
- กำลังสูงสุด 359 แรงม้า
- แรงบิด 350 นิวตันเมตร
- อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 5.4 วินาที
ถือว่ามีสมรรุถนะที่ร้อนแรง และอัตราเร่งรวดเร็ซทีเดียว และการขับขี่จริงก็เป็นการยืนยันได้อย่างดี มันออกตัวได้รวดเร็ว เพิ่มความเร็วได้ทันใจ และเร่งแซงได้ง่ายๆ แบบไม่ต้องลุ้น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นทางหลวงสายหลักที่มีหลายเลน หรือทางเล็กๆ ในชนบท แม้แต่ถนนบนคลองชลประทานแถวๆ อู่ทอง ก็ไม่มีปัญหาสำหรับคันนี้
จุดเด่นอีกอย่างคือ ช่วงล่าง ใครที่มองหาจุดร่วมระหว่างความนุ่มนวลกับความหนึบแน่นเกาะถนนที่มักจะไม่มาด้วยกันในรถคันเดียวกัน หาได้จากคันนี้ครับ
มันเก็บรายละเอียดของถนนได้ดี ผู้โดยสารนั่งสบาย ขณะที่คนขับก็มั่นใจในการควบคุมรถ การเร่งแซง หรือแม้แต่การซอกแซกไปมา ซึ่งอาจจะดูไม่เข้ากับบุคลิกภายนอกของรถสักเท่าไร แต่เชื่อผมเถอะ มันทำได้ และทำได้ดีเสียด้วย
ช่วงล่างเป็นแบบถุงลม ปรับได้อัตโนมัติ รวมถึงระดับความสูง หรือ ผู้ขับขี่จะเลือกปรับเองก็ได้เช่นกัน
ความคล่องแคล่วของรถคันใหญ่ นอกจากมาจากสมรรถนะของไฮบริดที่ตอบสนองได้รวดเร็วแล้ว ยังมาจากระบบช่วยเลี้ยวของล้อหลัง ทำให้เลี้ยวได้คมขึ้น เปลี่ยนเลนได้โดยง่าย รวมถึงเค้าโค้งได้แคบ โดยไม่รู้สึกถึงอาการลื่นไถล
ถึงตรงนี้ ใครที่ซื้อรถราคา 15.8 ล้านบาทคันนี้มาใช้แล้วเลือกไปนั่งสบายๆ ที่เบาะหลัง พร้อมเปิดระบบนวดเพิ่มความผ่อนคลายอาจจะอยากลุกขึ้นมานั่งหลังพวงมาลัย ซึ่งผมสนับสนุนเต็มที่ ที่จะละความสบาย มาหาความสนุกจากLS500h Executive Pleat คันนี้ครับ