"JADOH" จาโด แอพเรียนภาษาแบบแหวกแนว
"JADOH" จาโด แอพเรียนภาษาแบบแหวกแนว ลบภาพจำศัพท์น่าเบื่อเป็นความสนุกผ่านซีรีส์หนังฯ
JADOH แอปพลิเคชั่นเรียนภาษาผ่านมือถือที่ออกแบบโดยคนไทยเพื่อคนไทย พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว ด้วยคอนเซปต์การเรียนภาษาแบบสนุกอย่างมีสไตล์ผ่านซีรีส์หนัง ละคร และเพลง เน้นการทำให้ผู้เรียนไม่รู้สึกเบื่อ เปิดให้ดาวน์โหลดฟรีแล้ววันนี้ทั้งระบบ IOS และ Android ขณะเดียวกันก็ช่วยให้องค์กรหรือบริษัท สามารถติดตามการใช้งานรวมถึงผลการเรียนของพนักงานได้แบบวินาทีต่อวินาที และนำไปประเมินความคุ้มค่าทางการลงทุน (ROI) ได้แบบเรียลไทม์ โดยในเฟสแรกจะเริ่มต้นจากภาษาอังกฤษ ตามมาด้วยภาษาจีนและญี่ปุ่น เจาะกลุ่มเป้าหมายแรกคือ กลุ่มบริษัทด้าน Hospitality และ Food Services
“ศมณ สุวรรณรัตน์” อดีตเด็กติดเกม ติดการ์ตูนญี่ปุ่น ผู้ก่อตั้ง JADOH Learning
ซึ่งเคยได้ทุน Monbusho ของรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อเรียนระดับปริญญาโท ทั้งเคยทำงานในองค์กรระดับโลกที่เป็นแหล่งรวมบุคลากรระดับหัวกะทิอย่าง Boston Consulting Group ประเทศญี่ปุ่น ออกตัวว่า ตัวเองเป็นคนโชคดีที่สนุกกับการใช้ภาษามาตั้งแต่เด็กๆ จนทำให้พูดได้ 4 ภาษา คือ อังกฤษ ญี่ปุ่น จีน ไทย โดยที่ไม่เคยไปเรียนเมืองนอก หรือเรียนผ่านติวเตอร์จากโรงเรียนกวดวิชาสอนภาษาที่ไหนมาก่อน แต่ใช้การพิสูจน์ให้เห็นว่าเกมส์ กับการ์ตูนก็มีประโยชน์ได้ ด้วยการพัฒนาฝึกฝนตัวเองจากการท่องศัพท์วันละ 30 คำทุกวัน เป็นเวลาเกือบ 2 ปี กระทั่งกลายเป็นนักแปลการ์ตูนที่สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ สามารถหาค่าขนมให้ตัวเองได้ ตั้งแต่ตอนเรียนปี 1 อย่างที่สองก็คือ โชคดีที่ค้นพบอัลกอริทึม วีธีการเรียนภาษาที่เป็นระบบ อย่างที่สามสุดท้ายก็คือ โชคดีที่ภาษานำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆตลอดเวลา ทั้งด้านการศึกษา และด้านอาชีพการงาน
"ต้องบอกว่าถ้าหากไม่มี"ภาษา"ในวันนั้น ก็คงไม่มีผมในวันนี้ ผลงานการแปลการ์ตูน หนังสือแบบมืออาชีพทำให้เด็กแบ็คกราวน์วิศวะอย่างผมดูโดดเด่นขึ้นมา จนได้รับทุนรัฐบาลญี่ปุ่นและโอกาสไปเรียนป.โทต่อที่ม.โทได และ MBA ที่ม.นอร์ทเวสเทิรน์ ความรู้ความเข้าใจของผมในด้านภาษาและวัฒนธรรมของไทย จีน ญีปุ่น และอเมริกา ช่วยให้ผมได้เพื่อนดีๆ ที่ช่วยติวผมจนได้งานคอนซัลท์ที่หมายปองอย่าง BCG และ Private Equity ที่ญี่ปุ่น และเมื่อเอาโชค 3 อย่างนี้มาแปลงเป็นคอนเซปต์ของแอพ JADOH Learning " ศมณ กล่าว
คอนเซปต์หลักของ JADOH นั้น ได้แก่ ความสนุก ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมาก จาโดจะไม่ทำเนื้อหาไวยากรณ์หนัก ๆ หรือวิดีโอสอนบทสนทนาแบบที่เราเคยเรียนพิเศษทั่วไป แต่จะเน้นไปที่หนัง ซีรีส์ เพลง หรือข่าวตรงเทรนด์แบบสั้น ๆ และเป็นการเรียนแบบ Micro learning ไม่เกิน 2 นาที ได้เรียนรู้คำศัพท์ถึง 10 คำ เรื่องที่สอง คือ การเรียนอย่างเป็นระบบ โดยทางทีมผู้พัฒนาแอพ ได้ประยุกต์ใช้อัลกอริทึมของ Super Memo ที่ช่วยให้ผู้เรียนไม่ต้องเหนื่อยกับการคีย์คำศัพท์และความหมายเอง เพียงแค่ขอเวลาวันละ 10 นาที ก็ท่องศัพท์ได้แล้ววันละ 20-30 คำ และปิดท้ายที่ ความคาดหวังในระยะยาว คือ การสร้าง Community ที่เกิดจากการรวมตัวกันเป็นชุมชนที่คนเก่งและคนอยากเรียนรู้ภาษามาแฮงเอาต์แลกเปลี่ยนความรู้ ขณะเดียวกันก็เป็นที่ที่บริษัทหรือองค์กรต่างๆ จะมั่นใจได้ว่าการเรียนกับ JADOH ต้องได้คนเก่ง แอทติจูดดี ยินดีที่จะหยิบยื่นโอกาสดีๆให้กับสมาชิกของทั้งในแง่การงานและการศึกษา
สอดคล้องกับความหมายของ JADOH ซึ่งเป็นภาษาญี่ปุ่น (邪道) หมายถึง “Unconventional path” หรือ “แนวทางที่แหวกแนว” ที่ตรงข้ามกับการเรียนในห้องเรียนแบบจำเจ แอพนี้จึงตอบโจทย์สำหรับหลายๆ บริษัทที่มักลงทุนซื้อคอร์สเรียนภาษาให้กับพนักงาน เพื่อให้พนักงานสื่อสารได้ดีกับลูกค้าต่างชาติที่มาใช้บริการ แต่มักประสบปัญหาคือพนักงานไม่ได้มีความรู้สึกอยากเรียน ณ จุดนี้ JADOH จึงเข้ามาช่วยกระตุ้นสนใจของพนักงาน โดยเริ่มจากเรื่องใกล้ตัว เช่น ละคร ซีรีส์ หนัง และเพลง คอนเทนต์กลุ่มนี้จะเป็นตัวดึงพนักงานให้เข้ามาเรียน แล้วจากนั้นเราจะพาพวกเขาเข้าสู่เนื้อหาที่เหมาะสมกับการทำงาน โดยในตอนท้ายวิดีโอของแต่ละบทจะมีคำถามเพื่อเช็กความเข้าใจของพนักงาน จากนั้นอัลกอริทึมจะทำหน้าที่ถามซ้ำในอีก 2-3 วันถัดไป และหากคำไหนผิดบ่อยก็จะถามซ้ำเป็นระยะ
“ศมณ” กล่าวว่า ตนเองออกแบบ JADOH ให้สามารถปรับแต่งได้ตรงกับความต้องการทางธุรกิจของบริษัทนั้นๆ ทั้งยังทำให้บริษัทสามารถติดตามการใช้งานของพนักงานแต่ละคนว่าเรียนไปกี่ครั้ง เรียนเรื่องไหนบ้าง รวมถึงการทราบผลการเรียนของพนักงานได้ นอกจากนั้นยังมี leader board แสดงอันดับผลการเรียนของพนักงานแต่ละคน เพื่อเป็นตัวกระตุ้นให้พนักงานอยากแข่งขันในการเรียนรู้ และอยากทำให้ดีขึ้น
นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว JADOH ยังเริ่มลงบทเรียนภาษาจีนด้วย ซึ่งจะพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบในปี2563 ขณะนี้ทุกคนสามารถเข้าไปเรียนผ่านจาโดได้ทั้งภาษาอังกฤษและจีนฟรีจนถึงต้นปีหน้า โดยสามารถดาวน์โหลด แอพ JADOH ได้ผ่านทางสมาร์ทดีไวซ์ ทั้งระบบ IOS และ Android หลังจากนั้นจะยังคงเปิดให้ใช้ฟรีในบางส่วน เพราะอยากส่งเสริมให้คนไทยได้เรียนรู้แบบสนุกสนาน สามารถนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวันได้