"บิวท์ ทู บิวด์" ปิดปี’64 ยอดตามเป้า 1,000 ล้าน หลัง Real Demand อั้น ลูกค้าสร้างบ้านเริ่มคืนสู่ตลาด
กลุ่มบิวท์ฯ เผยภาพรวมปี 64 ธุรกิจโตขึ้น 20% จากบทพิสูจน์ความแกร่งของแผนตลาดที่รุกหนักทุกช่องทาง ดันยอดขายรวมทะลุ 1,000 ล้านตามคาด ชี้ Real Demand ลูกค้าสร้างบ้านยังมีอยู่มาก พร้อมเดินหน้ารักษาสมดุลทั้งยอดขายควบคู่กับงานคุณภาพและบริการสร้างฐานลูกค้าสร้างบ้านระยะยาว
นายสุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจรับสร้างบ้านของกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ในปี 64 ที่ผ่านมา ในส่วนของยอดขายมีการเติบโตที่ดีขึ้นมากจากปี 63 ประมาณ 20% ทำให้ผลประกอบการรวมเป็นไปตามคาดการณ์ของเป้าหมายที่กำหนดไว้ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จของแผนงานในการส่งเสริมการตลาดที่รุกหนักอย่างต่อเนื่องทั้งด้านออฟไลน์และออนไลน์เพื่อส่งเสริมการขายตลอดปีที่ผ่านมา รวมถึงในเรื่องของคุณภาพมาตรฐานของงานก่อสร้างที่กลุ่มบริษัทฯทุ่มเทและเน้นย้ำทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นที่จะเลือกสร้างบ้านกับกลุ่มบริษัทฯ โดยเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ในช่วงกลางปี 64 เป็นต้นมากำลังซื้อของลูกค้าในกลุ่ม Real Demand เริ่มกลับคืนสู่ตลาดมากขึ้น ทั้งจากสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลาย เศรษฐกิจในภาพรวมค่อยๆฟื้นตัวดีขึ้นผลทางจิตวิทยาต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่ทำให้คลายกังวล รวมถึงบางส่วนมีความกังวลเรื่องการปรับขึ้นของราคาบ้านจากราคาวัสดุที่สูงขึ้น รวมถึงอัตราเงินเฟ้อในปี 65 ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการตัดสินใจสร้างบ้านของกลุ่มลูกค้า และมีการติดต่อสอบถามเข้ามามากขึ้นโดยเฉพาะช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ในปี 65 สถานการณ์เศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศมองว่าจะดีขึ้นกว่าปี 64 พอสมควรตามการคาดการณ์ภายใต้สมมุติฐานของจีดีพีในไทยที่คาดโต 3.5 - 4% ซึ่งจะช่วยหนุนให้ธุรกิจอสังหาฯ / รับสร้างบ้านฟื้นตัวและโตขึ้น ถึงแม้ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาจะยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการกลายพันธุ์ของโควิดชนิด 'โอมิครอน' (Omicron) ซึ่งจากข้อมูลวิจัยต่างๆที่ออกมาว่าเป็นสายพันธุ์ที่แพร่เชื้อได้มากและค่อนข้างเร็ว แต่สถิติการป่วยหนักอาจไม่สูงมากนัก ซึ่งหากภาครัฐมีการวางแผนรับมือและแนวทางจัดการรักษาความเชื่อมั่นและพยุงเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนได้ ก็เชื่อว่าสถานการณ์จะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับตั้งแต่กลางปี 65 เป็นต้นไป
ด้านราคาวัสดุก่อสร้างในปี 64 ที่ผ่านมามีดัชนีราคาปรับตัวสูงขึ้นกว่าปี 63 มากพอสมควรประมาณร้อยละ 10.4 และมีแนวโน้มปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 65 นี้ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นเกือบทุกหมวดของราคาสินค้าโดยเฉพาะเหล็ก อลูมิเนียม ฯลฯ อีกทั้งการขยับขึ้นของราคาน้ำมันที่มีผลต่อราคาวัสดุก่อสร้างและเงินเฟ้อของประเทศด้วย โดยจากตัวเลขดังกล่าวผู้ประกอบการ จึงมีความจำเป็นจะต้องปรับราคาบ้านขึ้นตามต้นทุนของวัสดุ ซึ่งเชื่อว่าในปีนี้จะยิ่งมีโครงการก่อสร้างมากมากขึ้น และจะก่อให้เกิดปัญหาแรงงานขาดแคลนโดยเฉพาะแรงงานฝีมือที่เป็นผลให้ราคาค่าแรงสูงขึ้นตามไปด้วย
โดยแนวโน้มความต้องการสร้างบ้านปี 65 นี้ ลูกค้ายังคงให้ความสำคัญเรื่องของคุณภาพและมาตรฐานงานก่อสร้างมาเป็นอันดับแรก ซึ่งเทรนด์การออกแบบปีนี้จะเน้นการดีไซน์ตัวบ้านให้มีความทันสมัยหลากหลายดีไซน์ มาพร้อมกับฟังก์ชันที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ที่ปรับเปลี่ยนไปตามเทรนด์โลกวิถีใหม่ โดยเฉพาะการใช้ชีวิตในยุคโควิด-19 ลูกค้าเริ่มให้ความสำคัญและมองหาที่อยู่อาศัยที่มีฟังก์ชันยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปในช่วงเวลาที่ต้องอยู่บ้านมากขึ้น ทั้งพื้นที่ทำงานและพื้นที่พักผ่อน หรือแม้แต่การออกแบบเพื่อรองรับวัยผู้สูงอายุ เพราะฉะนั้นการการออกแบบและการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ถือเป็นอีกหัวใจสำคัญที่จะช่วยสร้างคุณภาพชีวิตและการอยู่อาศัยที่ดีขึ้นได้ในระยะยาว ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งคอนเซ็ปต์หลักในปีนี้
สำหรับเป้าหมายในปี 65 กลุ่มบริษัทฯ เชื่อว่าการเติบโตของภาคอสังหาฯ / ธุรกิจรับสร้างบ้าน จะฟื้นตัวได้ดีและสามารถเติบโตได้มากกว่า 10% โดยในส่วนของกลุ่มบริษัทฯ วางเป้าหมายการเติบโตปีนี้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท เป็นเป้าการเติบโตเดียวกับปี 64 ที่ผ่านมา ซึ่งการที่กลุ่มบริษัทฯ ยังไม่ปรับเป้าให้สูงขึ้นนั้น เพื่อต้องการรักษาสมดุลในการบริหารงานทั้งเรื่องของยอดขายให้สามารถควบคู่กับคุณภาพและการบริการในงานก่อสร้างของบริษัทฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้ลูกค้าทุกท่านได้รับความพึงพอใจจากการตัดสินใจสร้างบ้านกับกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ อย่างสูงที่สุด