ผลสำรวจชี้เด็กไทยมากกว่า 70% ได้รับ "แคลเซียม" ไม่เพียงพอ
ผลสำรวจในเด็กอายุ 6 เดือน - 12 ปี ใน 4 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม พบว่า มากกว่า 70% ไม่ได้รับ "แคลเซียม" ในปริมาณที่เพียงพอ และมากกว่า 84% ได้รับ "วิตามินดี" ต่ำกว่าเกณฑ์
วัยเด็ก ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญต่อพัฒนาการโดยรวม โภชนาการจึงมีบทบาทหลักต่อการเจริญเติบโตของเด็กที่ส่งผลในระยะยาว แต่จากผลสำรวจภาวะโภชนาการเด็กภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 2 หรือ SEANUTS II (South East Asian Nutrition Surveys II) พบว่า ทุพโภชนาการ หรือสภาวะของร่างกายที่เกิดจากการได้รับอาหารที่ไม่ครบถ้วน หรือมีปริมาณที่ไม่เหมาะกับความต้องการของร่างกาย ยังคงเป็นปัญหาใหญ่โดยรวมของทั้งภูมิภาค และเด็กไทยที่มีอายุระหว่าง 6 เดือน – 12 ปี มากกว่าร้อยละ 70 ไม่ได้รับแคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอ นอกจากนี้ ยังพบว่าแม้เด็กไทยจะได้รับมื้อเช้าเป็นส่วนมาก แต่โภชนาการที่ได้รับกลับไม่เพียงพอ ด้วยคุณภาพของอาหาร อันเป็นผลพวงมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจ
โดยผลสำรวจ SEANUTS II ในเด็กอายุ 6 เดือน – 12 ปี จำนวนเกือบ 14,000 ราย จากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ระหว่างปีพ.ศ. 2562 – 2564 ระบุว่า มากกว่าร้อยละ 70 ของเด็กในทั้ง 4 ประเทศไม่ได้รับแคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอ เมื่อเทียบกับปริมาณค่าเฉลี่ยที่ควรได้รับในแต่ละวัน และมากกว่าร้อยละ 84 ได้รับวิตามินดีต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งแคลเซียมและวิตามินดีนับเป็นแร่ธาตุและสารอาหารที่สำคัญต่อการพัฒนาและการเสริมสร้างการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน โดยเฉพาะในวัยเด็กที่กำลังเจริญเติบโต
ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนมยูเอชที ภายใต้ตราสินค้า โฟร์โมสต์ ในประเทศไทยและอินโดจีน ตระหนักถึงปัญหาทุพโภชนาการในเด็ก อันมีสาเหตุมาจากการไม่สามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพได้ และพร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้เด็กไทยทุกคนสามารถเข้าถึงและได้รับโภชนาการที่ดี ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและการมีพัฒนาการสมวัย อันส่งผลต่อคุณภาพชีวิตระยะยาว
ดร.โอฬาร โชว์วิวัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “พันธกิจหลักของฟรีสแลนด์คัมพิน่า คือการส่งมอบโภชนาการที่ดีด้วยผลิตภัณฑ์จากน้ำนมโคคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้เพื่อให้คนทุกกลุ่มมีสุขภาพที่ดี จึงเป็นที่มาของโครงการ ‘โฟร์โมสต์ส่งต่อรอยยิ้มให้เด็กไทย’ ซึ่งได้ริเริ่มขึ้นครั้งแรกในปีที่แล้ว ปีที่ทุกคนประสบกับภาวะวิกฤติจากโรคระบาดโควิด-19 เราตระหนักดีว่า มีครอบครัวกลุ่มเปราะบางและคนชายขอบที่มีลูก และได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้มากกว่าคนกลุ่มอื่น ในฐานะที่เราเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโฟร์โมสต์ แบรนด์ที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนานถึง 66 ปี จึงได้จับมือกับมูลนิธิกระจกเงา สานต่อโครงการ ‘โฟร์โมสต์ส่งต่อรอยยิ้มให้เด็กไทยปีที่ 2’ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์นมยูเอชที โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369 และ โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369 สมาร์ท ขนาด 180 มล. จำนวน 1,000,000 กล่อง ให้แก่เด็กและครอบครัวที่ได้รับความเดือดร้อน โดยตั้งเป้าส่งมอบโภชนาการที่ดีให้แก่เด็กไทยและครอบครัวที่ขาดโอกาสทั่วประเทศ ภายในเดือนพฤศจิกายน 2565
โดยนับตั้งแต่เปิดตัวโครงการ ‘โฟร์โมสต์ส่งต่อรอยยิ้มให้เด็กไทยปีที่ 2’ ในวันที่ 25 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีผู้บริโภคให้การตอบรับโครงการเป็นอย่างดี โดยโฟรโมสต์ได้ส่งมอบนมโคคุณภาพดี โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369 และ โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369 สมาร์ท แก่มูลนิธิกระจกเงาและมูลนิธิเครือข่าย เป็นจำนวนกว่า 14,000 ลัง หรือมากกว่า 500,000 กล่อง โดยได้นำไปแจกจ่ายแก่เด็กและครอบครัวในชุมชนต่าง ๆ ได้แก่ มูลนิธิดวงประทีป คลองเตยดีจัง เครือข่ายเยาวชนหญิงสู่ชีวิตใหม่ในจังหวัดกาญจนบุรี ชุมชนในจังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น เราคาดหวังว่าจะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยและทำให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงโภชนาการที่ดียิ่งขึ้นได้”
นางสาววีราภรณ์ ประสพรัตนสุข หัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กรและระดมทุน มูลนิธิกระจกเงา พาร์ทเนอร์หลักของโครงการ ‘โฟร์โมสต์ส่งต่อรอยยิ้มให้เด็กไทย’ กล่าวว่า จากปีที่แล้วที่เราสามารถส่งมอบโภชนาการให้เกือบ 500 ครัวเรือนใน 50 ชุมชนทั่วประเทศ มูลนิธิกระจกเงายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ ฟรีสแลนด์คัมพิน่า ประเทศไทยและแบรนด์โฟร์โมสต์ เป็นปีที่สอง ในการส่งต่อโภชนาการที่ดีให้แก่เด็กและครอบครัวกลุ่มเปราะบาง ภายใต้โครงการ ‘โฟร์โมสต์ส่งต่อรอยยิ้มให้เด็กไทย’ อีกครั้ง แม้ว่าสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 จะคลี่คลายแล้ว แต่ยังมีผู้ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องอยู่อีกมาก มีครอบครัวที่ผู้ปกครองตกงาน หรือต้องกักตัวในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพ ซึ่งในครอบครัวที่ลำบาก ถ้าต้องเลือกระหว่างนมกับข้าว พวกเขาจะเลือกข้าวมากกว่า จึงทำให้เด็กในครอบครัวเหล่านี้ได้รับคาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารหลัก แม้เด็กส่วนหนึ่งจะได้รับนมจากโรงเรียน แต่ยังมีกลุ่มเด็กก่อนวัยเรียนตามชุมชนที่ยังอยู่ในภาวะทุพโภชนาการ กระจกเงาจึงทำงานร่วมกับเครือข่ายด้านเด็กในชุมชนอย่างหลากหลาย เพื่ออุดช่องว่างนี้ให้กับเด็กไทย”
คุณครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิดวงประทีป มูลนิธิฯ ที่ทำงานร่วมกับมูลนิธิกระจกเงาในฐานะภาคีเครือข่ายเพื่อกระจายและส่งมอบผลิตภัณฑ์นมบริจาคให้แก่เด็กและครอบครัวที่เดือดร้อนทั่วประเทศ กล่าวว่า “แม้ปัจจุบันสถิติของพัฒนาการไม่สมวัยจะลดลงแล้วก็ตาม และปัญหาน้ำหนักตัวไม่สมวัยจะดีขึ้นจากร้อยละ 30 – 40 มาอยู่ที่ร้อยละ 11-12 แต่ก็ยังไม่ใช่ตัวเลขที่เราปรารถนา ในฐานะคนที่ลงพื้นที่ส่งมอบนมบริจาคให้ถึงมือเด็กและครอบครัวที่ได้รับความเดือดร้อน เราเห็นเด็กในชุมชนที่วิ่งเล่นตามตรอกซอกซอย แววตาที่เขารอคอยและดีใจเมื่อมีคนนำนมบริจาคมาให้ หลายครอบครัวที่พ่อแม่ไม่สามารถดูแลลูกของตัวเองได้ เนื่องจากต้องออกไปทำงาน ฝากหลานไว้กับย่ายายและอาศัยเพียงเบี้ยคนชราเลี้ยงดูปากท้องนั้นไม่เพียงพอ บางครอบครัวต้องนำไข่ 1 ฟองมาผสมกับน้ำแล้วทอด เพื่อให้ไข่ขยายและแบ่งกันได้หลายคน คุณภาพของอาหารและโภชนาการไม่ได้เหมาะสมตามที่ควรจะเป็น ซึ่งสำหรับเด็กๆ นั้นสำคัญมาก พัฒนาการทั้งทางร่างกายและสมองซึ่งเกิดขึ้นในวัยนี้ คือรากฐานของคุณภาพชีวิต
แม้หลายคนอาจจะมองว่าการบริจาคเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและไม่ยั่งยืน แต่ในสถานการณ์ที่ทุกคนลำบาก พัฒนาการของเด็กที่ได้รับผลกระทบไม่ได้หยุด หากสูญเสียโอกาสไป อาจหมายถึงคุณภาพชีวิตของเขาในระยะยาว ทางมูลนิธิดวงประทีปจึงขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมกับโครงการ ‘โฟร์โมสต์ส่งต่อรอยยิ้มให้เด็กไทย’ เพื่อให้เด็กๆ ยังสามารถมีรอยยิ้มและก้าวข้ามผ่านวิกฤติได้โดยไม่สูญเสียโอกาส”