"ช็อกโกแลตซีสต์" ภัยร้ายใกล้ตัวผู้หญิง ปวดท้องน้อยอย่าปล่อยผ่าน
สูตินรีแพทย์ ออกโรงเตือนผู้หญิงไทยเสี่ยงโรค "ช็อกโกแลตซีสต์" ภัยร้ายใกล้ตัว แนะปวดท้องน้อยอย่าปล่อยผ่าน รีบมารักษาก่อนสาย ย้ำรักษาไวหายได้ด้วยยา ไม่ต้องผ่าตัด
พันตำรวจโท นายแพทย์อรัณ ไตรตานนท์ สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญประจำโรงพยาบาลตำรวจ เจ้าของเพจ "อรัณ ไตรตานนท์ โต๊ะทำงาน" ร่วมวงเสวนา "Expert Treat Expert Talk 2022" ทาง Facebook Live หัวข้อ "ช็อกโกแลตซีสต์ ภัยร้ายใกล้ตัวที่ผู้หญิงควรรู้" โดยมีหยาดพิรุณ ปู่หลุน ดำเนินรายการ
พันตำรวจโท นพ.อรัณ กล่าวว่า แฮชแท็ก #ปวดท้องน้อยอย่าปล่อยผ่าน ที่ต้องการรณรงค์ในวันนี้ เพื่อให้ผู้หญิงทุกคนตระหนัก และสังเกตตัวเองว่ามีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรังหรือไม่ เพราะอาจเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือ ช็อกโกแลตซีสต์ ซึ่งโรคนี้เกิดได้อย่างไร หลายคนๆ คงสงสัย เกิดมาจากเยื่อบุโพรงมดลูกไปอยู่ผิดที่ จากปกติต้องอยู่ในโพรงมดลูก แต่ไปอยู่ในรังไข่ ซึ่งเรียกว่า ช็อกโกแลตซีสต์ หากไปอยู่ในเนื้อมดลูก เกิดพังผืดมดลูก ทำให้มดลูกโต เรียกชื่อเฉพาะว่า อะดีโนไมโอซิส (adenomyosis) ซึ่งโรคนี้ ถือเป็นภัยเงียบของผู้หญิง เนื่องจากมีโอกาสพัฒนาเป็นมะเร็งได้ หรือหากปล่อยทิ้งไว้นานช็อกโกแลตซีสต์ ซึ่งมีลักษณะเป็นถุงน้ำรังไข่ จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และมีโอกาสแตกในท้อง เกิดการตกเลือดในท้อง
นอกจากนี้ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ อาจไปเกิดในอวัยะอื่นได้ด้วยตั้งแต่หัวจรดเท้า บางรายไปเกิดที่สมอง ตับ ปอด สะดือ หรือลำไส้ ในกรณีเกิดที่ปอด เวลามีประจำเดือนก็จะมีอาการหายใจไม่ออก ถ้าสะสมจนขนาดใหญ่ขึ้นอาจทำให้ปอดแตกได้ กรณีเกิดที่ลำไส้ ทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เพราะการขับอาหารผ่านลำไส้ไม่ดี เป็นต้น
สำหรับสาเหตุของโรค มาจากการบีบตัวไหลย้อนกลับของประจำเดือนไปอยู่ในบริเวณต่างๆ ทำให้เกิดรอยโรค เกิดเป็นซีสต์ ก้อน ถุงน้ำ หรือที่พังผืด ผู้หญิงจำเป็นต้องสังเกตตัวเอง ซึ่งอาการเด่นๆ ของโรคนี้ ได้แก่ ปวดประจำเดือนรุนแรง ประจำเดือนมามากผิดปกติ แต่บางกรณีไม่มีประจำเดือนก็ปวดได้ และเป็นการปวดเรื้อรังติดต่อกัน 6 เดือนขึ้นไป หรือมีบุตรยาก ในบางรายพบว่า มีหน้าท้องยื่นออกมาคล้ายคนท้องก็มี หรือกรณีปวดเวลามีเพศสัมพันธ์ หากมีอาการแบบนี้ต้องรีบมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย
ผู้หญิงกลุ่มไหนที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนี้ นพ.อรัณ ระบุว่า ภาวะโรคเกิดได้ตั้งแต่วัยเด็กที่เพิ่งเริ่มมีประจำเดือน แต่บางคนไม่แสดงอาการมาก และไม่เคยตรวจ พอสะสมนานวันเมื่อไรที่ร่างกายไม่แข็งแรง โรคก็จะปรากฏออกมา ดังนั้น จึงเห็นคนที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้วก็ยังเป็นโรคนี้ได้
สำหรับการรักษาโรคนั้นสามารถทำได้ 2 วิธี คือ การใช้ยากิน และการผ่าตัด ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้กินยาก่อน ซึ่งตอนนี้มีการพัฒนายารักษาไปมากสามารถลดขนาดซีสต์ และรักษาอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพถึง 80% อย่างเช่น ยากินที่เป็นฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยว ที่ผลิตมารักษาโรคนี้โดยตรง เช่น ไดโนเจส (Dienogest) ซึ่งหากมาพบแพทย์เร็ว สามารถรักษาได้ด้วยการกินยา
ส่วนในบางรายต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเอาซีสต์ออก ช่วยลดอาการของ ช็อกโกแลตซีสต์ ได้ อย่างไรก็ตามหลังผ่าตัดไปแล้ว ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะสามารถรักษาโรคให้หายได้อย่างถาวร เพราะสาเหตุของโรคมาจากฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งผลิตเยอะเกินปริมาณที่บริเวณรังไข่ ในขณะที่การผ่าตัดโดยทั่วไปจะไม่ได้ตัดรังไข่ออก ดังนั้น ในรายที่เป็นชนิดรุนแรง และฝังลึกเข้าไปในอวัยวะต่างๆ หากผ่าตัดแล้วยังสามารถเป็นซ้ำได้ จากสถิติพบว่า ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ 10% ต่อปี นั่นหมายถึงหากผ่าตัดไปแล้ว 5 ปีกลับมาเป็นซ้ำได้ถึง 50-60% ดังนั้น หลังการผ่าตัด คนไข้กลุ่มนี้ยังต้องกินยาที่รักษาโรคนี้โดยตรงอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันกลับมาเป็นซ้ำ สำหรับในรายที่ต้องการมีบุตร ไม่ต้องเป็นกังวล เมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาแล้ว สามารถมีบุตรได้
ดังนั้น หากมีอาการต่างๆ ที่เข้าข่ายเป็นช็อกโกแลตซีสต์ ผู้หญิงต้องรีบมาตรวจวินิจฉัย พบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยจากแพทย์ในระยะเริ่มต้น สามารถป้องกันไม่ให้โรคสะสมรุนแรง โดยแพทย์จะทำการตรวจประเมินด้วยวิธีอัลตราซาวด์ ดังนั้น ผู้หญิงไม่ต้องกลัวและกังวล หากมีอาการควรรีบมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโดยเร็ว
นพ.อรัณ ย้ำว่า ช็อกโกแลตซีสต์ ถือเป็นภัยเงียบใกล้ตัวผู้หญิง หากปล่อยให้โรคลุกลาม จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้หญิงและกระทบการใช้ชีวิต ดังนั้น หากมีอาการปวดบริเวณท้องน้อยแม้เพียงเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นเรื้อรังไม่ควรปล่อยให้ผ่านไป รีบมาตรวจเพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที