มหัศจรรย์ 70/20/10 (ตอนจบ)
ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาทองที่องค์กรไทยควรเริ่มต้นขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวออกไปจากสภาพแวดล้อมเดิม
มีองค์กรชั้นนำมากมายที่บริหารจัดการในแนวทาง 70/20/10 โดยแบ่งเวลาในการปฏิบัติงานของพนักงานเป็น 3 ส่วน คือ ร้อยละ 70 ใช้ไปในการทำงานประจำวัน ร้อยละ 20 ใช้ไปในการพัฒนาตนเองและปรับปรุงงานให้ดีขึ้น และร้อยละ 10 ใช้ไปในการคิดสร้างสรรค์หรือสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่แตกต่างออกไปจากธุรกิจหลัก นี่เองจึงเหตุผลว่าทำไมองค์กรเหล่านี้จึงสามารถพัฒนากระบวนการใหม่ ผลิตภัณฑ์ใหม่ ตลอดจนรูปแบบธุรกิจใหม่ ที่แตกต่างหลากหลายไปจากเดิม หรืออาจไปไกลจากธุรกิจเดิมจนกลายเป็นธุรกิจใหม่ในที่สุด โดยตัวเลข 70/20/10 นี้ มีการอ้างอิงถึงใน 3 ส่วนสำคัญคือ ด้านการศึกษา ด้านกลยุทธ์ และด้านการจัดการ
ตัวเลข 70/20/10 ที่เราพบเห็นในทุกวันนี้ไม่ใช่อะไรใหม่ เพียงแต่ในอดีตเป็นหลักที่ใช้ในด้านการศึกษาหาความรู้ของคน รูปแบบของการเรียนรู้และพัฒนาดังกล่าวได้มีการศึกษาวิจัยและสังเกตการณ์ ตลอดต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ทศวรรษ 1960 จนถึงปัจจุบันได้ใช้ในการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรมและชัดเจนมากขึ้น
Morgan McCall และเพื่อนร่วมงานที่ทำงานด้วยกันที่ศูนย์พัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ (Center for Creative Leadership – CCL) มักได้รับการยกย่องและให้การยอมรับว่าเป็นผู้ให้กำเนิดอัตราส่วนที่ว่า 70:20:10 ร่วมกับผู้ช่วยของเขา 2 คนคือ Michael M. Lombardo และ Robert W. Eichinger โดยเผยแพร่ข้อมูลจากผลการศึกษาของ CCL ไว้ในสมุดวางแผนที่เรียกว่า The Career Architect Development Planner ของปี 1996
ผลสำรวจจากกลุ่มผู้จัดการที่มีสมรรถนะสูงและประสบความสำเร็จในการบริหารงาน ที่ทำร่วมกันของทั้ง 3 คนนี้ แสดงให้เห็นเป็นสัดส่วนที่น่าสนใจ ดังนี้
- ร้อยละ 70 ผู้จัดการที่มีประสิทธิผลสูง ใช้ไปในการดูแลความเรียบร้อยของงานภายใต้ความรับผิดชอบหลัก
- ร้อยละ 20 ใช้ไปในการดูแลคน หรือผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรง
- ร้อยละ 10 ใช้ไปในการเรียนรู้ เข้าอบรม เสริมทักษะ และการอ่าน
อัตราส่วน 70:20:10 ที่มักใช้ไปเพื่อการเรียนรู้และพัฒนาในช่วงแรกนั้น ไม่เพียงแต่อยู่บนฐานของผลการศึกษาโดย CCL เท่านั้น แต่จากการสำรวจและข้อมูลเชิงประจักษ์อื่นๆล้วนแต่ชี้ให้เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า การเรียนรู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นและเป็นส่วนหนึ่งของงานในกระบวนการ ในขณะที่เหลือเกิดขึ้นรอบๆงานและนอกเหนืองาน
สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นซึ่งระบุไว้ในโครงการ “การศึกษารูปแบบการเรียนรู้ของผู้ใหญ่” โดย Professor Allen Tough ในทศวรรษ 1960 และ 1970 พบว่าส่วนใหญ่ของการเรียนรู้เกิดขึ้นด้วยตนเองภายในสถานที่ปฏิบัติงาน ซึ่งส่งผลที่เป็นประโยชน์อย่างมาก อาจกล่าวได้ว่า การเรียนรู้นั้นเกิดจากการวางแผนโดยตัวผู้เรียนเอง แม้ว่าในเวลานั้น Tough จะไม่ได้แยกออกมาเป็นสัดส่วน 70:20:10 ให้เห็นอย่างชัดเจน แต่ก็ได้รับการยกย่องว่านั่นคือสิ่งที่เขาค้นพบ
องค์กรมากมายรับเอาอัตราส่วน 70:20:10 นี้ไปใช้ ตัวอย่างองค์กรชั้นนำที่มีแบรนด์ระดับโลก อาทิ ผู้ผลิตเลนส์แว่นตาชั้นนำของฝรั่งเศส (Essilor) ซอฟท์แวร์ที่ใช้ในการจัดการองค์กร (SAP, Oracle) บริษัทที่ปรึกษา (Ernst & Young,KPMG, PwC) ผู้ผลิตรองเท้าชั้นนำ (Nike) บริษัทซอฟท์แวร์และระบบปฏิบัติการอันดับหนึ่ง (Microsoft) ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ (Dell, HP) ธนาคารและสถาบันการเงิน (American Express, Bank of America, Goldman Sachs, ANZ Bank) ผู้ผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่ (Coca-Cola) และอีกหลายบริษัทในหลายธุรกิจอุตสาหกรรม
ความสำคัญและคุณค่าของอัตราส่วน 70:20:10 ได้ทลายกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ทำให้ไม่จำกัดไว้แค่การเรียนรู้ในห้องเรียนและตามโครงร่างเนื้อหาหลักของหลักสูตรเท่านั้น หากแต่ได้ขยายผลไปสู่การใช้ประโยชน์จากสถานที่ปฏิบัติงาน (on the job training - OJT) และการเรียนรู้ผ่านสังคมรอบข้าง โดยเป็นไปเพื่อการปรับปรุงและการขยายผลการฝึกอบรมและการเรียนรู้แบบเดิมให้ไปสู่สถานที่ทำงาน (ซึ่งสอดรับกับแนวคิดการจัดการความรู้ Knowledge Management ที่ฮิตมากในปัจจุบัน) ตัวเลข ‘70’ หมายถึงการเรียนรู้ภายในกระบวนการ ในสถานที่ทำงาน และการสนับสนุนต่างๆเพื่อให้ผลการดำเนินงานดีขึ้น ในขณะที่ตัวเลข ‘20’ เป็นการเรียนรู้ผ่านสังคมและคนรอบข้าง (KM เรียกกว่า การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ Knowledge sharing และการร่วมกลุ่มเป็นชุมชนนักปฏิบัติ Community of Practice – CoP) รวมไปถึงการโค้ช การเป็นพี่เลี้ยง และการให้คำปรึกษาแนะนำ ผ่านเครือข่ายเชิงสังคม
ด้านกลยุทธ์ ในปี 2002Charles Jennings ผู้บริหารระดับสูงด้านการเรียนรู้ และนวัตกรที่พัฒนาแนวทางการเรียนรู้ขององค์กรแบบใหม่ๆ ได้นำเอาอัตราส่วน 70:20:10 มาพัฒนาให้เป็นตัวแบบเชิงกลยุทธ์เพื่อนำไปใช้ปฏิบัติจริงที่ Reuters โดย Jennings ได้เผยแพร่บทความ หนังสือ เพื่อขยายแนวคิด 70:20:10(Learning & Development Model) ให้เป็นเครื่องมือหนึ่งสำหรับนักพัฒนาทรัพยากรบุคคลได้ใช้งาน เขายังได้ให้คำปรึกษากับองค์กรมากมายทั่วโลกเกี่ยวกับการนำหลัก 70:20:10 นี้ไปใช้ในทางปฏิบัติ
ด้านการจัดการ หลักการ 70/20/10 ได้กลายเป็นตัวแบบนวัตกรรมในการจัดการธุรกิจ ที่นำเสนอโดย Eric Schmidt และนำมาใช้ที่ Google ในปี 2005 ตัวแบบนี้มีบทบาทอย่างมากในการบ่มเพาะให้เกิดวัฒนธรรมนวัตกรรม (Productive Lifestyle หรือ Innovative Culture) โดยพนักงานทุกคนควรจะใช้เวลาทั้งหมดในสัดส่วนดังนี้
- ร้อยละ 70 ของเวลา ควรใช้ไปในงานหลักของธุรกิจ
- ร้อยละ 20 ของเวลา ควรใช้ไปในการทำโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก การพัฒนาต่อยอดให้ธุรกิจหลักดีขึ้น (Adaptive หรือ Incremental innovation)
- ร้อยละ 10 ของเวลา ควรใช้ไปในโครงการที่ไม่สัมพันธ์โดยตรงกับธุรกิจหลัก และนี่เองที่นำไปสู่แนวคิดสร้างสรรค์ หรือนวัตกรรมใหม่ (Transformative หรือ Breakthrough innovation)
ถ้าเราค้นหารูปภาพจากคำค้น “70/20/10” ท่านจะเห็นโมเดลน่าสนใจของบริษัทชั้นนำหลากหลาย ที่สื่อให้เห็นกลยุทธ์การจัดการองค์กร กรณีตัวอย่างที่ Coca-Cola ได้รณรงค์ด้วยการขยายความกลยุทธ์ 70:20:10 นี้ว่าเป็น Now/Next/New สัดส่วนของเวลาตามความสูงของขวด ซึ่งสะท้อนตัวตนของ Coke ได้เป็นอย่างดี
เชื่อว่าช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาทองที่สำคัญ สำหรับองค์กรของไทยมากมาย ที่ควรเริ่มต้นขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวองค์กรออกไปจากสภาพแวดล้อมเดิม (Comfort zone) ที่เริ่มไม่เหลือความได้เปรียบในการแข่งขันแล้ว ไปสู่ความสามารถใหม่ที่นำเอาความรู้ความสามารถเดิมที่สั่งสมมา พัฒนาต่อยอดให้เกิดประโยชน์ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่จนถึงการสร้างนวัตกรรมให้ได้ในที่สุด