คราฟท์เบียร์ไทยเสียท่า ด้วยกติกาขัดขาตัวเอง
ตลาดคราฟท์เบียร์เป็นเบียร์ที่เกิดจากผู้ผลิตขนาดเล็ก ดำเนินธุรกิจอย่างอิสระและใช้วิธีการแบบดั้งเดิมในการผลิตทุกขั้นตอน
ตั้งแต่คิดค้นรสชาติ หมัก บรรจุขวด และส่งขายเองทั้งหมด ซึ่งกำลังเติบโตอย่างมากในปัจจุบัน
คุณกาญจน์ เสาวพุทธสุเวช ผู้ผลิตเบียร์สเปซคราฟท์ เปิดเผยกับวอยซ์ทีวีว่าในปี 2561 ประเทศไทยนำเข้าคราฟท์เบียร์มูลค่าไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าภายในปี 2563 จะมีมูลค่านำเข้าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 0.5% ของมูลค่าตลาดเบียร์ไทยซึ่งมีมูลค่า 180,000 ล้านบาท แต่ที่ประเทศไทยต้องนำเข้าคราฟท์เบียร์เป็นเพราะเราไม่มีการผลิตคราฟท์เบียร์ในประเทศไทยด้วยกฎกติกาของรัฐนั่นเอง
ในช่วงปี 2560 มีข่าวสรรพสามิตจังหวัดนนทบุรี จับกุมผู้ผลิตเบียร์รายหนึ่ง ที่หมักเองเพื่อจำหน่ายให้กับกลุ่มเพื่อนที่ชื่นชอบในรสชาติของเบียร์ที่ลองผลิตขึ้นมา ในข้อหาการทำสุราโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และการจำหน่ายสุราโดยไม่ได้ติดแสตมป์สุรา ได้รับโทษ 5,200 บาท และโทษจำคุกรอลงอาญา 1 ปี โดยผู้ต้องหารายนี้ ระบุว่า เหตุการณ์นี้ถือเป็นบทเรียน โดยมีแนวคิดที่จะลงทุนคราฟต์เบียร์ต่างประเทศ และนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมาย
กรณีนี้เป็นตัวอย่างของ กฎระเบียบที่ไม่เพียงแต่เป็นอุปสรรคกีดกันการประกอบอาชีพสุจริต แต่เป็นการกีดกันการแข่งขันในธุรกิจการผลิตเบียร์ในประเทศอีกด้วย ทำให้คนไทยได้แต่ดื่มเบียร์จาก “ขาใหญ่” ไม่กี่รายเท่านั้น ไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสเบียร์ผู้ผลิตขนาดเล็กคิดค้นสูตรขึ้นมา
ในปัจจุบันผู้ที่จะผลิตเบียร์ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม เช่น ต้มดื่มเองที่บ้าน หรือทดลองสูตร รวมถึงผลิตเพื่อขาย จะต้องขออนุญาตการผลิตกับกรมสรรพสามิต ต้องมีคุณสมบัติคือ เป็นบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท และหากจะผลิตเพื่อขาย ณ สถานที่ผลิต (brew pub) อย่างเช่น ร้านโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงจะต้องมีปริมาณการผลิตไม่ต่ำกว่า 1 แสนลิตรต่อปีและไม่เกิน 1 ล้านลิตรต่อปี หรือหากคิดเป็นเบียร์ขวดเล็กที่คราฟท์เบียร์นิยมบรรจุขายขนาดประมาณ 300 มิลลิลิตร จะต้องผลิตประมาณไม่ต่ำกว่า 3 ล้านขวดต่อปี และไม่เกิน 33 ล้านขวดต่อปี และหากจะผลิตเพื่อขายนอกสถานที่ผลิตจะต้องผลิตปริมาณไม่ต่ำกว่า 1 ล้านลิตรต่อปี หรือไม่ต่ำกว่า 33 ล้านขวดต่อปี ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกฎกระทรวงการอนุญาตผลิตสุรา ปี2560
อย่างไรก็ตาม คราฟท์เบียร์เป็นเบียร์ที่ผลิตได้ในระดับครัวเรือนหากจะจำหน่ายต้องลองผิดลองถูกหลายครั้งเพื่อที่จะได้สูตรที่มีรสชาติที่ผู้ซื้อชื่นชอบ จึงไม่คุ้มค่าหากจะต้องไปจัดตั้งบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทเพื่อขออนุญาตผลิต ยิ่งไปกว่านั้น ปริมาณการผลิตขั้นต่ำ 10 ล้านลิตรต่อปีต้องใช้เงินทุนสูงถึงหลักร้อยล้านบาท ด้วยข้อกำหนดของกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับรูปแบบการประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ทำให้ผู้ผลิตรายย่อยส่วนมากต้องผลิตสินค้าอย่างผิดกฎหมายแล้วจำหน่ายเป็นแบรนด์ที่อยู่ใต้ดิน ยอมเสี่ยงค่าปรับหากถูกจับ หรือหลีกหนีข้อจำกัดทางกฎหมายดังกล่าวไปผลิตในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อบ้านอย่างกัมพูชา แล้วนำเข้ามาจำหน่ายในไทยอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งจากการรายงานของบีบีซีไทยคาดว่ามีอย่างน้อยประมาณ 30 รายในปัจจุบัน
การกำกับดูแลการผลิตเบียร์ของภาครัฐในต่างประเทศ เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ผู้เขียนพบว่า โดยหลักๆแล้วจะแยกการผลิตเบียร์ออกเป็น 2 ลักษณะ คือ (1) การผลิตที่ไม่ใช่เพื่อเชิงพาณิชย์หรือผลิตเพื่อบริโภคเอง จะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศซึ่งส่วนใหญ่ไม่ต้องขออนุญาต แต่จะกำหนดอายุของผู้ที่สามารถผลิตหรืออาจจำกัดปริมาณการผลิตร่วมด้วย และ (2) การผลิตเพื่อเชิงพาณิชย์ แม้ต้องขออนุญาต แต่มิได้มีการกำหนดปริมาณการผลิตขั้นต่ำเหมือนประเทศไทยแต่อย่างใด
ทั้งนี้ สิงคโปร์ เป็นประเทศที่เพิ่งมีมาตรการในการส่งเสริมผู้ผลิตเบียร์รายย่อย (microbreweries) โดยการลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตรายปีจากเดิมเป็นอัตราตายตัวที่สูงเป็นการเก็บตามปริมาณการผลิตจริงแทน
ไม่นานมานี้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แหล่งข่าวกรมสรรพสามิตได้เปิดเผยว่าทางกรมฯ กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการสนับสนุนให้มีการผลิตคราฟท์เบียร์ในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับวงการเบียร์ไทย ธุรกิจคราฟท์เบียร์สามารถเกิดขึ้นในประเทศได้หากมีการ (1) ยกเลิกการขออนุญาตหากเป็นการผลิตเพื่อบริโภคเอง ภาครัฐควรมองว่าการผลิตเบียร์เพื่อบริโภคเองก็เป็นสิทธิของประชาชนดังในต่างประเทศที่ศึกษามา (2) ยกเลิกข้อกำหนดปริมาณการผลิต หรือ เงินลงทุนขั้นต่ำหากเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายซึ่งยังคงต้องขออนุญาต เพื่อเป็นการไม่กีดกันผู้ผลิตรายย่อยในการเข้ามาแข่งขันในตลาด และ (3) กำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตตามปริมาณการผลิตดังเช่นในสิงคโปร์เพื่อเป็นการส่งเสริมผู้ผลิตรายย่อย ส่วนเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยนั้น เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่อยู่ภายใต้การตรวจสอบดูแลจากกรรมสรรพสามิตอยู่แล้ว
การปลดล็อคกฎหมายเพื่อให้มีการผลิตคราฟท์เบียร์นอกจากจะทำให้ตลาดเบียร์ในประเทศมีการแข่งขันมากขึ้น ยังจะทำให้คนไทยมีโอกาสพัฒนาเป็นผู้ผลิตเบียร์ในระดับภูมิภาคได้ แทนที่จะต้องนำเข้าคราฟท์เบียร์จากประเทศเพื่อนบ้านที่กฎหมายเขาไม่กีดกันการผลิตเหมือนเรา แต่หากการดำเนินการในการแก้กฎหมายล่าช้าแล้ว ก็มีโอกาสเสี่ยงสูงที่เราจะสูญเสียโอกาสที่จะพัฒนาผู้ผลิตเบียร์ในประเทศให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะสิงคโปร์ และเวียดนามที่มีผู้ผลิตคราฟท์เบียร์จำนวนมาก เพราะผู้ผลิตไทยตอนนี้ก็ต้องกระเจิดกระเจิงหนีไปผลิตในต่างประเทศหมดแล้ว ไปสร้างโอกาส ทำรายได้ให้กับแรงงานและประเทศอื่นแทน
โดย... ศศิ สุมา