7 บทบาทผู้ลงทุนในยุคโควิดระบาด
สถานการณ์แพร่ระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ได้กลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรง ไม่เฉพาะในมิติสุขภาพโลก
แต่ยังส่งผลทั้งในมิติชุมชน มิติเศรษฐกิจ และมิติการลงทุน
ภายใต้หลักการดูแลรักษาทุนในระยะยาว ผู้ลงทุนสามารถและควรลงมือช่วยเหลือเพื่อลดผลกระทบที่เป็นภยันตราย ทั้งผลทางตรงด้านสาธารณสุข ความรุนแรงของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่สืบเนื่องจากการระบาดใหญ่ (Pandemic) และความไม่เสมอภาคทางสังคมที่ยิ่งถลำลึก รวมทั้งปัญหาสุขภาพจิตที่มีสาเหตุจากผลกระทบดังกล่าว
วิกฤตโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ลงทุนและผู้รับประโยชน์อย่างถ้วนหน้า โดยไม่จำกัดรูปแบบของการถือครอง กลยุทธ์ที่ใช้ หรือบทบาทที่ดำรงอยู่ในห่วงโซ่การลงทุน การรับมือกับวิกฤตจึงต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของบูรณภาพทั้งระบบ และผลตอบแทนทั้งมวลในระยะยาว มากกว่าการให้ความสำคัญกับผลประกอบการของบริษัทที่เข้าไปเกี่ยวข้อง
การไหลออกของเงินลงทุนในช่วงสถานการณ์ อาจมีผลทำให้ผู้ลงทุนสถาบันที่จัดการแทนเจ้าของทรัพย์สิน (Asset Owners) และผู้ลงทุนสถาบันที่ให้บริการจัดการเงินลงทุน (Asset Managers) ต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านสภาพคล่อง รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลงจากการไหลออกของเงินลงทุนและการตกต่ำของมูลค่าตลาดโดยรวม
กระนั้นก็ตาม ผู้ลงทุนสถาบันที่ยึดหลักของการลงทุนที่รับผิดชอบ (Responsible Investment) สามารถและพึงใช้บทบาทของตนที่มีต่อบริษัทและรัฐบาล ผ่านกระบวนการตัดสินใจลงทุน สนับสนุนบริษัทในวิถียั่งยืนให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ ภายใต้การคำนึงถึงประโยชน์ด้านสาธารณสุข และสมรรถนะด้านเศรษฐกิจในระยะยาว แม้จะต้องถูกจำกัดผลตอบแทนในระยะสั้นก็ตาม
หน่วยงาน PRI ซึ่งเป็นผู้จัดทำและเผยแพร่หลักการลงทุนที่รับผิดชอบในการสนับสนุนของสหประชาชาติ (United Nations-supported Principles for Responsible Investment: PRI) ได้ทำการประมวลแนวทางการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ที่ผู้ลงทุนสถาบัน สามารถลงมือดำเนินการได้ทันที ไว้เป็น 7 แนวทาง ประกอบด้วย
แนวทางที่ 1: สานสัมพันธ์กับบริษัทที่ไม่สามารถจัดการกับวิกฤตที่เกิดขึ้น ผู้ลงทุนควรสานสัมพันธ์กับบริษัทที่ไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยของแรงงาน และ/หรือความมั่นคงทางการเงินของกิจการ และบริษัทซึ่งยังคงให้ลำดับความสำคัญที่ค่าตอบแทนผู้บริหาร และ/หรือผลตอบแทนระยะสั้นแก่ผู้ถือหุ้น
แนวทางที่ 2: สานสัมพันธ์ในจุดที่ภัยอื่นถูกปกปิด ทิ้งไว้เบื้องหลัง หรือทำให้เลวร้ายลงด้วยวิกฤตที่เกิดขึ้น ผู้ลงทุนควรสานสัมพันธ์กับบริษัทและรัฐบาลที่ใช้การปิดบังวิกฤตเพื่อเลี่ยงการถูกตรวจสอบ หรือในจุดที่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของอุปทานและอุปสงค์ และห่วงโซ่อุปทาน ไปเพิ่มความเสี่ยงในประเด็นด้านอื่นให้รุนแรงขึ้น
แนวทางที่ 3: ปรับลำดับความสำคัญของการสานสัมพันธ์ในประเด็นอื่น ผู้ลงทุนควรปรับลำดับความสำคัญของการสานสัมพันธ์กับบริษัทที่อยู่ในระหว่างการจัดการวิกฤตโดยเน้นที่ประเด็นโควิด 19 มากกว่าประเด็นอื่นในช่วงสถานการณ์
แนวทางที่ 4: สนันสนุนอย่างเปิดเผยต่อการรับมือทางเศรษฐกิจโดยรวม ผู้ลงทุนควรใช้เสียงในฐานะมหาชน ผลักดันรัฐบาลและบริษัทให้ลงมือดำเนินการเพื่อส่วนรวมอย่างเหมาะสม
แนวทางที่ 5: มีส่วนร่วมในการประชุมสามัญประจำปีเสมือนจริง (Virtual AGMs) ผู้ลงทุนควรใช้ช่องทางเสมือนจริงในการเข้าร่วมประชุมสามัญประจำปี เพื่อควบคุมดูแล (Oversight) บริษัทที่ลงทุนได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง
แนวทางที่ 6: พร้อมรับคำขอความช่วยเหลือต่อการสนับสนุนทางการเงิน ผู้ลงทุนควรเปิดช่องให้การสนับสนุนบริษัท ลูกหนี้ และรัฐบาล ด้วยการให้ความยืดหยุ่นในข้อตกลงทางการเงิน และด้วยการให้การสนับสนุนทางตรงเพิ่มเติม หากเป็นไปได้
แนวทางที่ 7: คงจุดเน้นที่มุมมองระยะยาวในการพิจารณาตัดสินใจลงทุน ผู้ลงทุนควรปรับมุมมองระยะยาวในการดูแลการลงทุน (Stewardship) ให้อยู่ในแนวเดียวกับมุมมองระยะยาวในการพิจารณาตัดสินใจลงทุน
สำหรับรายละเอียดการดำเนินงานตามแนวทางดังกล่าว สถาบันไทยพัฒน์อยู่ในระหว่างจัดทำเอกสารแนวทางรับมือของผู้ลงทุนต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19: Investor Response Guidance เพื่อเผยแพร่ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันได้ใช้ประโยชน์ในช่วงสถานการณ์ ภายในเร็ววันนี้