ย้อนรำลึกพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ในหลวงรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ย้อนรำลึกพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ในหลวงรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

เป็นเวลา 75 ปีแล้ว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ วังสระปทุม แล้วเสด็จฯ แปรพระราชฐาน ประทับรถไฟพระที่นั่งไปยังวังไกลกังวล นับเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองพระองค์เสด็จฯ ให้ประชาชนในต่างจังหวัดเข้าเฝ้าฯ อย่างใกล้ชิด

ย้อนเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 ตรงกับวันพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขณะดำรงพระอิสริยยศหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ในหนังสือบันทึก “เป็น อยู่ คือ” สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เขียนถึงเหตุการณ์สำคัญของล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ ความตอนหนึ่งว่า 

เมื่อแรกพบ
“ในปีพ.ศ. 2491 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์จะเสด็จเยี่ยมชมโรงงานต่อรถยนต์ในประเทศฝรั่งเศส ครอบครัวของหม่อมเจ้านักขัตรมงคลไปรอรับเสด็จฯ ณ เมือง Fontainebleau ชานกรุงปารีส บุตรีทั้งสองของท่านทูตก็ไปร่วมรับเสด็จฯด้วย หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร แต่งตัวเรียบร้อยอยู่ในสูทสีเนื้อ แต่ก็คงหางเปียเดี่ยวยาวถึงกลางหลัง เฝ้ารับเสด็จฯ ด้วย 

ทุกคนยืนรออยู่ใต้ร่มเงาไม้อันร่มรื่นของป่าโปร่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่ฝ่ายผู้รอรับเสด็จ ฯ ก็ต้องแปลกใจเพราะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระนิสัยตรงต่อเวลาผิดเวลาไปมาก การรอคอยที่เนิ่นนานขึ้นทุกที โดยเฉพาะหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ที่ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนจากยิ้มแย้มแจ่มใสกลายเป็นมุ่ย ในที่สุดสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จฯ มาถึง เหตุเพราะรถยนต์ราชพาหนะเกิดเครื่องเสียและน้ำมันหมด ต้องใช้เวลาแก้ไขนานพอสมควร
 

ย้อนรำลึกพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ในหลวงรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

การพบกันครั้งแรก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทอดพระเนตรใบหน้าหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ไม่ค่อยจะงามนักเพราะทั้งหิวและรอนาน มิหนำซ้ำท่านราชเลขาฯ ขณะนั้นคือ หลวงประเสริฐไมตรีได้เชิญแต่เฉพาะผู้ใหญ่ร่วมโต๊ะเสวย เด็กๆ ให้ไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารจีนอีกแห่งหนึ่ง 

ครอบครัวหม่อมเจ้านักขัตรมงคล ได้รับเสด็จฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบ่อยครั้ง เนื่องจากมาทอดพระเนตรรถยนต์คันใหม่ แทนคันเดิมที่ทรงใช้มานานจนคร่ำครา แต่รถที่ทอดพระเนตรดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกพระทัย จึงต้องเสด็จฯ มาปารีสบ่อยครั้ง ทำให้เป็นที่คุ้นเคยต่อเบื้องพระยุคลบาท โดยเฉพาะหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เป็นที่ต้องพระราชอัธยาศัย เนื่องด้วยมีนิสัยร่าเริงแต่สุภาพอ่อนน้อม และบางครั้งค่อนข้างขี้อาย 

ทรงรักหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ 

เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมหลวงบัว กิติยากร พาธิดาทั้งสองเข้าเฝ้าฯ ด่วนที่สุด ในการประชวรครั้งนั้น รัฐบาลจัดคณะผู้แทนไปเฝ้าฯ เยี่ยม และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์  เข้าเฝ้าฯ เป็นกรณีพิเศษ มีพระราชกระแสรับสั่งว่า 

‘ทรงรักหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์อย่างแน่นอน’

พระราชทานเหตุผลว่า เมื่อทรงฟื้นคืนพระสติครั้งแรกนั้น ทรงระลึกถึงบุคคลเพียงสองคนคือ สมเด็จพระบรมราชชนนีและหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เมื่อพระอาการประชวรทุเลาแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคลและครอบครัวเฝ้าฯ ที่โรงแรมวินเซอร์ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ย้อนรำลึกพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ในหลวงรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร

เรื่องที่จะทรงขอหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ มีพระราชดำรัสส่วนพระองค์กับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ล่วงหน้าแล้ว คือในวันที่ 18  กรกฎาคม 2492 ก่อนที่หม่อมเจ้านักขัตรมงคล และครอบครัวเดินทางมาถึงโลซานน์ 

เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาที่โรงแรมวินเซอร์ และมอบหมายให้หม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ เป็นผู้ทูลเกริ่นทาบทาม เรื่องที่จะทรงขอหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ และพระราชทานพระธำมรงค์แก่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เลือก องค์หนึ่งเป็นสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทำจากทับทิมประดับเพชร 

อีกองค์หนึ่งคือ พระธำมรงค์ที่สมเด็จพระราชบิดา ประทานแก่สมเด็จพระบรมราชชนนีขนาด 2 กะรัต ทรงเกรงว่าจะไม่สมพระเกียรติ แต่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ขอรับพระราชทานพระธำมรงค์องค์เล็กของสมเด็จพระราชบิดา ซึ่งแสดงถึงความรักของสองพระองค์ 

ต่อมา วันที่ 19 กรกฏาคม เวลา 10.00 น. สมเด็จพระบรมราชชนนีรับสั่งขอหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ต่อหม่อมเจ้านักขัตรมงคล ซึ่งน้อมเกล้าฯ ถวายด้วยความโสมนัสยิ่ง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสวมแหวนหมั้นแด่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ในพิธีเรียบง่ายที่โรงแรมวินเซอร์ 

ค่ำวันที่ 12 สิงหาคม 2492 มีงานเลี้ยง ณ สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศข่าวทรงหมั้นให้คนไทยได้ทราบ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์อยู่ในชุดสีฟ้าอ่อน กระโปรงพลีต เสื้อเป็นระบายงดงามอ่อนหวาน งานเลี้ยงมีเพียงโต๊ะเล็กๆ ไม่กี่โต๊ะแต่บรรยากาศอบอวลด้วยความสุข 

ต่อจากนั้น หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ยังคงศึกษาต่อ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัตพระนคร กระทั่งกลับมาอยู่พร้อมครอบครัวที่พระตำหนักของหม่อมเจ้านักขัตรมงคลที่เทเวศน์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเสด็จฯ มาตอนเย็นเพื่อร่วมเสวยพระสุธารสกับพระคู่หมั้น ณ กลางสนามพระตำหนักเทเวศร์ อย่างสม่ำเสมอ 

ย้อนรำลึกพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ในหลวงรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ย้อนรำลึกพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ในหลวงรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส

กระทั่ง 28 เมษายน 2493 เป็นวันที่พสกนิกรต่างรอคอยมาถึง เป็นกำหนดวันพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ทางราชการมีคำสั่งให้สถานีวิทยุของกรมการโฆษณาในยุคนั้น รายงานบรรยากาศและลำดับขั้นตอนของพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสให้ราษฎรได้รับฟัง ปรากฏว่ามีประชาชนจับกลุ่มกันฟังด้วยความปลื้มปีติยินดี 

งานพระราชพิธีดังกล่าวนี้ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงประกอบพิธีราชาภิเษกสมรสพระราชทาน ณ พระตำหนักของสมเด็จพระศรีสวรินทิรา พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า วังสระปทุม 

ในตอนเช้า หม่อมเจ้านักขัตรมงคล ทรงพาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ซึ่งแต่งกายชุดสีงาช้าง เสื้อแพรแขนยาว ปักลายกนกทอง สร้อยคอเพชรของเก่าของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และต่างหูเพชร สายสะพายปฐมจุลจอมเกล้า ไปยังสระปทุมประทับรอที่ห้องรับแขก

เวลา 09.30 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องแบบเต็มยศ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินไปยังวังสระปทุม ณ ที่แห่งนั้น สมเด็จพระศรีสวรินทิรา พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระบรมวงศานุวงศ์ นายกรัฐมนตรี ประธานวุฒิสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ รอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท 

หม่อมเจ้านักขัตรมงคล ทรงพาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เข้าเฝ้าฯ ครั้นเสด็จฯ ถึง ทรงลงพระปรมาภิไธยลงในสมุดทะเบียนสมรสราชาภิเษกสมรส ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร หม่อมเจ้านักขัตรมงคลและหม่อมหลวงบัว ลงพระนามและลงชื่อในสมุดทะเบียนสมรสราชาภิเษกสมรสตามลำดับ 

ต่อจากนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ราชสักขี คือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมชุนชัยนาทนเรนทรและจอมพลป. พิบูลสงคราม ลงพระนามและลงนามในสมุดทะเบียนสมรสราชาภิเษกสมรส 

จากนั้นเวลา 10.24 น.ถึง 12.10 น.เสด็จพระดำเนินไปยังห้องพระราชพิธี บนพระตำหนักสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินี ถวายดอกไม้ธูปเทียนแด่สมเด็จพระศรีสวรินทริรา พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า การนี้ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าพระราชทานน้ำพระพุทธมนต์ เทพมนตร์และทรงเจิมแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทรงรดน้ำพระพุทธมนต์ เทพมนตร์ ทรงเจิมแก่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร

สมเด็จพระศรีสวรินทิรา พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงมีพระอาการความทรงจำไม่แม่นยำและไม่ตรัสเรื่องราวใดๆ มาเป็นเวลานาน เมื่อทรงเจิมสมเด็จพระราชินีแล้ว ความทรงจำกับมาอีก รับสั่งว่า 

‘เอ้า!...หันออกไปยิ้มให้กับผู้คนที่เขามางานซิ เขาอุตส่าห์มากันเต็มๆ ออกไปให้เขาเห็นหน่อย’

ยังความปลาบปลื้มแก่ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น จากนั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินี เสด็จพระราชดำเนินประทับห้องรับแขก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์อ่านประกาศฐานันดรศักดิ์แก่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ทรงเจิมและสถาปนาพระอัครมเหสี ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีและพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จักรีชั้นสูงสุด 

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ทรงลงพระนามในสมุดถวายพระพร รวมทั้งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐบาล ลงนามในสมุดถวายพระพร และรับพระราชทานของชำร่วยเป็นหีบเงินบุหรี่ถมเงินทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีพระปรมาภิไธยย่อ ภอ ลงยาสีดำอยู่บนฝาหีบด้านซ้าย ตรงกลางเป็นรูปจักรกับตรีศูล พระนามาภิไธย สก อยู่ด้านขวา แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับ 

เวลา 15.30 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ถวายพระพร โอกาสนี้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรทร เป็นผู้แทนพระองค์กราบบังคมทูลถวายพระพร การนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบ 

จากนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลถวายพระพร เสร็จแล้วทรงมีพระราชดำรัสตอบ เสด็จพระราชดำเนินกลับ 

ย้อนรำลึกพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ในหลวงรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ย้อนรำลึกพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ในหลวงรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ย้อนรำลึกพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ในหลวงรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

งานพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำแบบเรียบง่าย  
วันเดียวกัน มีงานพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำ ในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารผู้ที่ทรงคุ้นเคย จำนวนไม่เกิน 20 คน บนพระตำหนักเป็นการภายใน นับเป็นงานเลี้ยงในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสที่เรียบง่ายและสิ้นเปลืองน้อยที่สุด หลังร่วมโต๊ะเสวยแล้ว มีการฉายหนังผีเรื่อง Return of Frankenstein ให้แขกชม ไม่มีพิธีส่งตัวเจ้าสาวตามประเพณีทั่วไป 

ประทับรถไฟไปหัวหิน 

วันรุ่งขึ้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถไฟพระที่นั่ง ออกจากสถานีหลวงสวนจิตรลดา ไปยังพระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อประทับแรมที่นั่นแบบสั้นๆ เป็นการส่วนพระองค์ การนี้จึงโปรดเกล้าฯ ให้ผู้ตามเสด็จฯ น้อยมาก ซึ่งการเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐาน หนังสือเรื่องเขียนถึงสมเด็จฯ ตอนนางแก้วคู่บารมี พรรณาบรรยากาศในห้วงเวลานั้น ใจความตอนหนึ่งว่า 

ข่าวจากวิทยุและหนังสือพิมพ์แจ้งว่า ตลอดทางที่รถไฟพระที่นั่งวิ่งผ่าน มีราษฎรเฝ้ารับเสด็จอย่างเนืองแน่น ต่างพากันจัดโต๊ะหมู่บูชาข้างทางเพื่อถวายความเคารพเป็นระยะๆ ทุกสถานีที่รถไฟพระที่นั่งจอดจะมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตำรวจ ทหาร มาคอยเฝ้ารับเสด็จฯ พร้อมทั้งแตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี 

ตลอดจนมีผู้มาเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายสิ่งของมากมาย พระบรมฉายาลักษณ์ของทั้งสองพระองค์ทรงยืนโบกพระหัตถ์ จากหน้าต่างรถไฟพระที่นั่งด้วยพระพักตร์แจ่มใส อัญเชิญมาลงหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ นับเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินให้ประชาชนในต่างจังหวัดเข้าเฝ้าฯ อย่างใกล้ชิด 

กล่าวกันว่า ทั้งสองพระองค์ ทรงพระสำราญยิ่ง ทุกเวลาเย็นจะเสด็จลงสรงทะเล บางครั้งก็จะเสด็จลงพระสำราญชายหาดร่วมกับหม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์และคุณข้าหลวง เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทรงได้พักผ่อน ก่อนเสด็จฯ กลับมาทรงประกอบพระราชกรณียกิจ ณ กรุงเทพมหานคร 

ย้อนรำลึกพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ในหลวงรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ย้อนรำลึกพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ในหลวงรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ย้อนรำลึกพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ในหลวงรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ที่มาของโครงการพระราชดำริ 

วังไกลกังวล พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดบรรยากาศธรรมชาติแถบชายทะเลหัวหิน จึงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดซื้อที่ดินชายทะเล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และให้หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร เป็นผู้ออกแบบและอำนวยการก่อสร้างระหว่าง พ.ศ.2469 – 2471 ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบเมดิเตอเรเนียน ดัดแปลงให้สอดคล้องกลมกลืนกับภูมิอากาศของประเทศไทย ทรงเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า “สวนไกลกังวล” ทรงได้รับแรงบันดาลพระราชหฤทัยจากปราสาทซังส์ ซูซี ที่เมืองปอท์ตสดัม ประเทศเยอรมนี 

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐาน ณ วังไกลกังวลเพื่อประทับพักอิริยาบถ แต่ก็ทรงงานในคราวเดียวกัน เพื่อติดตามความคืบหน้าการปัญหาขาดแคลนแหล่งน้ำจืดในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 

อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินยังหัวหิน นอกจากจะมาประทับแรมหลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสแล้ว ยังเป็นสถานที่ทรงงานในโอกาสต่างๆ

ก่อเกิดเป็นโครงการพระราชดำริเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น เมื่อครั้งทรงเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านเขาเต่า อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในเวลาต่อมา ทรงเห็นความยากลำบากในการอุปโภค บริโภคน้ำจืดของพสกนิกร เมื่อถึงช่วงน้ำทะเลขึ้น ไหลเข้าท่วมพื้นที่เกษตรทุ่งตะกาด ส่งผลให้ผลผลิตเสียหาย ราษฎรจึงพร้อมใจกันน้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 จำนวน 300 ไร่ 

การนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 60,000 บาท ในการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำเขาเต่า แล้วเสด็จพระราชดำเนินทำพิธีเจิมเสาเข็มพืดท่อระบายน้ำ เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2506 เพื่อเป็นแหล่งจัดหาแหล่งน้ำสำหรับอุปโภค-บริโภค ให้แก่ประชาชน ในหมู่บ้านชายทะเลเขาเต่า การประมงหาเลี้ยงชีพของราษฏรชุมชนเขาเต่า รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดอย่างยั่งยืน 

 

ภาพ : วังไกลกังวล พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว