เศรษฐกิจขาขึ้น เพราะจีนควบคุมโควิดได้แล้ว (?)
ทางการจีนและผู้บริหารฮ่องกงประกาศเปิดด่าน ระหว่างแผ่นดินใหญ่กับฮ่องกง โดยไม่จำกัดจำนวนผู้เดินทางเข้าออก และยกเลิกมาตรการตรวจโควิด เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป เป็นการแสดงออกถึงความมั่นใจว่า โรคระบาดโควิดนั้น ไม่เกินความสามารถที่ทางการจะควบคุมได้
เมื่อวันที่ 29 มกราคม องค์การอาหารและยาของจีนอนุมัติยารักษาโควิดสองยี่ห้อ ที่ผลิตขึ้นมาเองในประเทศชื่อว่า Xiannuoxin และ VV116
ก่อนหน้านี้มียาที่ได้รับอนุญาตให้ใช้แล้วในจีนคือ Azvudine ซึ่งเป็นของจีนเอง และจากสหรัฐสองยี่ห้อคือ Paxlovid ของ Pfizer และ Molnupirvir ของ Merck
เมื่อวันที่ 21 ม.ค.นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ระดับผู้นำในจีนออกมายอมรับว่า ชาวจีนติดเชื้อโควิดแล้วประมาณ 80% ถึงแม้ว่าชาวจีนเป็นจำนวนมากได้รับวัคซีนแล้ว แต่ยังมีประชาชนบางกลุ่มที่ไม่ได้ถึงสามเข็ม จึงทำให้การมียาไว้เตรียมรักษานั้น จะป้องกันการเสียชีวิตหรือเจ็บป่วยอย่างหนักได้อีกระดับหนึ่ง และระบบการแพทย์พยาบาลจะไม่ล้มครืน
การแข่งขันเรื่องเทคโนโลยีระหว่างสองมหาอำนาจคือสหรัฐอเมริกาและจีนนั้น เราดูตัวอย่างของการพัฒนายารักษาโควิดยี่ห้อ VV116 เป็นอุทาหรณ์ว่า “การคิดค้นเป็นผู้เริ่มต้นก่อนนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าถึงเส้นชัยนำสินค้าและบริการเข้าสู่ตลาด”(แผงซิลิโคนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานอาทิตย์และแบตเตอรี่รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่ทำจากลิเที่ยมไออ้อนฟอสเฟตนั้น ทั้งสองเทคโนโลยีเริ่มต้นการค้นคว้าวิจัยที่สหรัฐ แต่ปัจจุบันจีนเป็นผู้นำโลกเรื่องควบคุมเบ็ดเสร็จ ห่วงโซ่อุปทานการผลิต จำหน่าย ใช้ในประเทศและส่งออก)
จีนทุ่มเทการวิจัยและพัฒนายารักษาการติดเชื้อไวรัสโควิด โดยดัดแปลงจากเทคโนโลยีซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของบริษัท Gilead ซึ่งเป็นบริษัทยาขนาดใหญ่ของสหรัฐเมื่อครั้งโควิดเริ่มระบาดต้นปีค.ศ. 2020 บริษัท Gilead เลือกที่จะไปพัฒนายาแบบฉีดเข้าเส้นเลือด ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนนักวิทยาศาสตร์ของจีนเห็นโอกาสว่า Gilead มียาอีกสูตรหนึ่ง ซึ่งน่าจะนำมาพัฒนาเป็นยาเม็ดได้
จึงประสานงานขอความร่วมมือ เอายาตัวนี้มาดัดแปลงเป็นยาเม็ดชื่อ VV1116 และจดทะเบียนสิทธิบัตรในเดือนเม.ย.2563 และทดลองจนสำเร็จ ขออนุญาตทางการจีนออกตลาดได้ภายใน 3 ปี ส่วนบริษัท Gilead กลับมาพัฒนายาเม็ด GS-5245 ของตนเองในสหรัฐฯ แต่ตอนนี้อยู่ในระหว่างช่วงการทดลองขั้นที่สาม สรุปคือตามจีนไม่ทัน ขณะนี้จีนมียารักษาโควิดแล้วถึงห้ายี่ห้อ จึงมั่นใจว่าจะรับมือไหวกับการระบาดและการกลายพันธุ์
ยาที่ผลิตในจีนราคาขายโดยเฉลี่ย 750 หยวน (3,700 บาท) เทียบกับยาที่ผลิตในอเมริกาและขายในจีนในราคา 2,300 หยวน (11,300 บาท)
ทางการจีนประกาศหลังจากเทศกาลตรุษจีนผ่านไปแล้วว่า “โรคร้ายโควิดกำลังจะผ่านไปแล้ว” และไม่มีหลักฐานการติดเชื้อเพิ่มอย่างรุนแรงตามที่วิตกจากการเดินทางกลับภูมิลำเนาช่วงตรุษจีน ธุรกิจการท่องเที่ยวและการบริการกระเตื้องขึ้นมาก ประเมินว่าเทียบเท่ากับ 81%ของปริมาณก่อนโควิด การผลิตสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มปริมาณสูงมากในรอบสี่เดือน ซึ่งเป็นสัญญาณของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
IMF แถลงขอแก้ไขตัวเลขประเมินเศรษฐกิจของจีนว่าจะโตขึ้นในปีค.ศ. 2023 ถึง 5.2% จากเดิมที่เคยประเมินไว้ 4.4% เทียบกับเศรษฐกิจจีนเมื่อปีที่แล้วโตเพียง 3.0%
ทางการจีนย้ำว่าผู้เสียชีวิตจากโควิดรวมแล้วประมาณ 79,000 คน หากนับการเสียชีวิตในโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค.ปี2565เป็นต้นมา แต่การนับจำนวนผู้เสียชีวิตนี้ผู้เชี่ยวชาญจากจากองค์การอนามัยสากลต่างๆยังตั้งข้อสังเกตว่า ทางการจีนยังไม่เปิดเผยข้อมูลที่มีมาตรฐานเพียงพอ เช่นการไม่นับผู้เสียชีวิตนอกโรงพยาบาล และการปิดบังข้อมูลจากท้องถิ่น และการขาดการประสานงานแบบโปร่งใส
ส่วนประชาชนชาวจีนโดยทั่วไปนั้นยังมีบางส่วนที่เป็นห่วงเรื่องการติดเชื้อโควิด และไม่เชื่อมั่นว่าการรักษาพยาบาลจะทั่วถึงหรือไม่ อีกทั้งมีความกังวลเรื่องการทำมาหากิน การหางานใหม่ ฟื้นธุรกิจกลับมาคืน หรือเตรียมตัวเรื่องการศึกษาเพื่ออนาคตของเด็ก หลายคนในจีนเลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องโควิดอีกต่อไป บางคนบอกว่าปีใหม่มาแล้ว ให้ลืมเรื่องเก่าและมองไปข้างหน้าดีกว่า
APPLE ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ที่สุดในโลกเจ้าของ iPhone เพิ่งรายงานยอดขายว่าลดลงไป 5% ตัวเลขนี้สำคัญเนื่องจากเป็นสัญญาณให้เห็นถึงความสำคัญของจีนในการผลิตสินค้าป้อนตลอดทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดในประเทศทางตะวันตก และขณะเดียวกันผู้บริโภคในจีนเป็นตลาดสำคัญของสินค้าหรูราคาแพงด้วย จีนและฮ่องกงเป็นลูกค้าหนึ่งในห้าของยอดขายสินค้าทั้งหมดของ APPLE
การเผชิญหน้าแข่งขันและกีดกันทางการค้าของสหรัฐและจีนนั้น เป็นสิ่งท้าทายและสร้างปัญหามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และเมื่อโดนซ้ำเติมเพราะโควิดกระทบกระเทือนกับห่วงโซ่อุปทาน และตัดยอดขายลง ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องพิจารณายุทธศาสตร์ใหม่ พยายามพึ่งตนเองให้มากที่สุดกระแสโลกาภิวัฒน์เริ่มเปลี่ยนเป็นโลกานิวัตน์ (หรืออโลกาภิวัตน์)
การเมืองเข้ามาวุ่นวายกับเศรษฐกิจจนเป็นข่าวหน้าหนึ่งทุกวัน รัฐสภาอเมริกันตั้งคณะกรรมการดูแลนโยบายเรื่องจีน ทำเนียบขาวประกาศนโยบายการแข่งขันกับจีนแบบเปิดเผย เอฟบีไอประกาศเตือนเรื่องการแทรกแซงและอันตรายต่อความมั่นคงจากจีน ส่วนทางผู้นำจีนก็ออกมาเตือนในสัปดาห์นี้ให้ค้นคว้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น เพราะหากทำไม่สำเร็จจีนจะจนมุม เหมือนถูกรัดคอ
ความตึงเครียดในบริเวณทะเลจีนใต้และเรื่องไต้หวัน ญี่ปุ่นแถลงการเปลี่ยนนโยบายหันมาพัฒนาการผลิตเพื่อป้องกันตนเอง เกาหลีใต้เพิ่มสมรรถนะการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อส่งออก จีนย้ำให้กองทัพเตรียมพร้อมป้องกันประเทศและทำสงครามหากจำเป็น ฟิลิปปินส์เซ็นสัญญาอนุญาตให้สหรัฐอเมริกาใช้พื้นที่แปดแห่งเป็นฐานทัพชั่วคราว ฯลฯ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้สร้างความกังวลให้เราทุกคนแต่ความหวังก็ฝากไว้ที่ผู้นำของมหาอำนาจทั้งสอง หันมาเจรจากันด้วยท่าทีเปิดเผยมากขึ้น
เราไม่ควรประมาททั้งเรื่องโควิด และเรื่องความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ซึ่งอาจจะนำมาสู่ผลเสียหายในการดำรงชีวิตทางการเงินและการลงทุนของเรา แต่หากเราดูดัชนีตลาดหุ้นตั้งแต่ต้นปีค.ศ. 2023 เป็นต้นมาเราจะเห็นว่ากระเตื้องขึ้นมาสม่ำเสมอโดยตลอด แสดงถึงความมั่นใจและการมองโลกในแง่ดีของนักลงทุนทั่วโลก
กระจายความเสี่ยงเรื่องการลงทุน ให้เวลากับสิ่งที่สำคัญในชีวิต เตรียมพร้อมปรับตัวตามสถานการณ์และมองโลกในแง่ดี ระมัดระวังสุขภาพโดยเฉพาะเรื่องมลภาวะทางอากาศจากฝุ่นจิ๋วในฤดูนี้ และส่งพลังใจให้พี่น้องชาวจีนพ้นเคราะห์จากโควิดและฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเร็วครับ