คำถามจากประชาชน เมื่อ 'นักการเมือง' จะแจก ‘เงินดิจิทัล’ 5 แสนล้าน!
นโยบาย“ประชานิยม”กลายเป็นเสมือน“DNA” ของนักการเมืองไทย พ.ศ.นี้แทบทุกพรรคการเมืองเข้าสู่สนามเลือกตั้งปี 2566 ด้วยนโยบายแจกเงิน และเพิ่มสวัสดิการให้คนไทยหลายเท่าตัว
ล่าสุด "เศรษฐา ทวีสิน"ที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ประกาศแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ใช้จ่ายในรัศมี 4 กิโลเมตร ภายในระยะเวลา 6 เดือนมีผู้ที่เข้าข่ายได้รับเงิน55 ล้านคน รวมเป็นวงเงิน 5.5 แสนล้านบาท
แน่นอนว่านโยบายนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง มีหลายคำถามที่น่าสนใจจากประชาชนผู้เสียภาษี และผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งฝากถึงคุณเศรษฐา และพรรคเพื่อไทย เพราะเขาไม่แน่ใจว่านโยบายนี้จะทำได้จริงหรือไม่ ที่สำคัญทำแล้วจะเกิดผลดีกับเศรษฐกิจของประเทศมากแค่ไหน
ข้อแรกเงินดิจิทัลที่จะให้คนละ 10,000 บาท เป็นเงินดิจิทัลประเภทไหนได้รับการยอมรับทั่วไปในระบบการเงินหรือไม่? ออกได้ถูกต้องตามกฎหมายและได้รับการรับรองจากธนาคารแห่งประเทศไทยหรือเปล่าเพราะแม้แต่โครงการบาทดิจิทัลของแบงก์ชาติเองก็ยังอยู่ในขั้นทดลองฃ
เพราะหากเป็นเงินดิจิทัลที่ไม่ได้รับการยอมรับสุดท้ายก็ใช้การไม่ได้ เพราะประชาชนไม่เชื่อมั่น ยังไม่รวมถึงเทคโนโลยีที่จะใช้จ่ายเงินดิจิทัลระหว่างผู้ได้รับเงินกับร้านค้า และร้านค้าที่ต้องแปลงเงินดิจิทัลเป็นเงินบาทจะมีความยุ่งยากมากขนาดไหน
คำถามข้อต่อมาเมื่อผู้ประกอบการได้เงินดิจิทัลมาย่อมต้องแปลงเงินส่วนนี้เป็นเงินบาทแน่นอนว่าในส่วนนี้ต้องใช้เงินงบประมาณจากภาครัฐเข้าไปซับพอร์ตจะเอาเงินมาจากส่วนไหน? เพราะหากจะใช้การปรับลดงบประมาณ หรือเก็บภาษีเพิ่มในปีต่อไปก็คงไม่ทัน พรรคเพื่อไทยต้องตอบคำถามว่าจะใช้เงินกู้ หรือปรับลดงบประมาณอย่างไรให้ได้เงิน 5.5 แสนล้านมาใช้ในโครงการนี้
และสุดท้ายการออกนโยบายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร? และจะทำให้เศรษฐกิจโตได้ถึง 5% จริงหรือไม่?เพราะหากบอกต้องการกระตุ้นการบริโภค ปัจจุบันตัวเลขการบริโภคของไทยก็ยังขยายตัวได้ดีในระดับ 4% ไม่ได้ติดลบเหมือนตอนโควิด-19 ที่ต้องออกมาตรการโครงการคนละครึ่ง
สุดท้ายถ้าบอกว่าเอาวงเงิน 5.5 แสนล้านมาใช้กระตุ้นจีดีพี เมื่อเทียบกับขนาดจีดีพีของไทยที่ 17 ล้านล้านบาท วงเงินส่วนนี้ก็ยังไม่สามารถทำให้จีดีพีของประเทศขยายตัวขึ้นไปถึง 5% ได้อยู่ดีไม่ว่าจะอ้างว่าเงินส่วนนี้หมุนกี่รอบก็ตาม
ที่ผ่านมาการกระตุ้นการบริโภคนั้นส่งผลดีต่อเศรษฐกิจเพียงระยะสั้นๆยิ่งเป็นการให้วงเงินใช้จ่ายแบบไม่ได้จำกัดประเภทร้านค้า หากคนไปซื้อของในห้างสรรพสินค้า หรือร้านสะดวกซื้อ การหมุนของเงินในระบบเศรษฐกิจก็จะยิ่งเกิดได้ยากเพราะห้างร้านเหล่านี้มีอำนาจต่อรองสูง ไม่ใช่รายย่อยที่จะซื้อมาขายไปทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนได้ โดยรวมแล้วนโยบายนี้จึงมีช่องโหว่มาก
ทั้งหมดเป็นคำถาม และข้อคิดเห็นบางส่วนที่ประชาชนส่งถึงผู้คิดนโยบายแจกเงินดิิจิทัลเหมือนทุกนโยบายที่จะใช้เงินจำนวนมาก ต้องมีคำตอบให้ประชาชนว่าจะใช้เงินจากที่ไหน หารายได้เพิ่มได้อย่างไร
..เพราะทุกวันนี้ “พื้นที่ทางการคลัง” ของประเทศเราเหลือน้อยมากแล้ว