การเมืองไทยมีเสถียรภาพหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน
นับตั้งแต่ชนะเลือกตั้งได้หวนคืนสู่ทำเนียบขาว โดนัลด์ ทรัมป์ สร้างแรงกระเพื่อมไปทั้งโลก ดูอย่างในประเทศไทยนับตั้งแต่วันเลือกตั้ง 5 พ.ย. เป็นต้นมาไม่มีวันไหนภาคธุรกิจไทยไม่พูดถึงเขา
เพราะทุกฝ่ายต่างต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่รัฐบาลทรัมป์ 2.0 จะนำพามาให้หลังสาบานตนรับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.2568 ที่คาดการณ์ว่ามาแน่คือสงครามการค้าสหรัฐ-จีน และการแข่งกันแสดงบทบาทมหาอำนาจทางการทหาร ซึ่งท่าทีของไทยถูกพูดถึงมาตั้งแต่ได้รัฐบาลพลเรือนชุดใหม่หลังการเลือกตั้ง เดือน พ.ค.2566 ว่าต้องรักษาความเป็นกลางระหว่างสองมหาอำนาจไว้ให้ได้
ฟังเสียงเหล่าซีอีโอดูบ้าง ศุภชัย เจียรวนนท์ รองประธานอาวุโส และประธานคณะผู้บริหาร บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์จำกัด (ซีพี) และประธานกรรมการบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จุดยืนของไทยยังคงเป็นกลาง ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน “ประเทศจีนเป็นเหมือนพี่ใหญ่สำหรับไทย ขณะที่สหรัฐเป็นเหมือนบิ๊กบอสซึ่งไทยพร้อมจะทำงานกับทั้งคู่"
ชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มองว่า ขณะนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการเติบโตของอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง โดยคาดว่าอาเซียนจะก้าวขึ้นเป็นภูมิภาคที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่หลั่งไหลเข้ามาในภูมิภาคจากการจัดระเบียบซัพพลายเชนโลกใหม่
ด้านปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า ไทยถือเป็นประเทศยุทธศาสตร์สำคัญในอาเซียนที่มีความได้เปรียบเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน มีความแข็งแรงของภาคการท่องเที่ยว ที่มีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ ส่งผลให้ช่วงที่ผ่านมามีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ถือเป็นจุดศูนย์กลางที่ลงตัวเพราะสามารถรองรับดีมานด์จากจีน และสหรัฐได้
สำหรับนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ไปพบประธานาธิบดีสี จิ้นผิงในการประชุมผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกที่เปรูมาแล้ว กลับมาก็ได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นการแสดงบทบาทนายกฯ ไทยได้อย่างเยี่ยมยอดชี้ให้เห็นว่า ไทยให้ความสำคัญกับทั้งสองฝ่าย ไม่เลือกข้างหนึ่งข้างใดอย่างที่ยืนยันมาตลอด
สิ่งที่น่าสังเกตประการหนึ่งคือ นายกฯ กล่าวว่า การเดินทางไปเยือนต่างประเทศและได้มีการหารือกับเอกชนต่างประเทศ หลายคนมีความสนใจที่จะมาลงทุนในประเทศไทย หากการเมืองประเทศไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น ก็จะทำให้ต่างประเทศมีความเชื่อมั่น ที่จะมาลงทุนในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น นายกฯ จึงได้ให้ความเชื่อมั่นกับทุกคนว่ารัฐบาลจะสามารถอยู่จนครบเทอมได้ เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติมั่นใจได้ว่าการลงทุนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ได้ยินได้ฟังสิ่งที่นายกฯ พูดเข้าใจได้ว่าทำไมต้องระแวดระวังเรื่องความมั่นใจของนักลงทุน ไม่มีใครอยากเข้ามาทำธุรกิจในประเทศที่คาดเดาไม่ได้ ยิ่งประเทศไทยการเมืองพลิกอย่างไม่น่าเชื่อส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ คนที่เดือดร้อนหนีไม่พ้นประชาชน