โอกาสทองของไทย ปักธงศูนย์กลางวิทยาศาสตร์วัสดุแห่งอาเซียน

ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นในภูมิภาคอาเซียน ประเทศไทยควรปักธงให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลางด้านวิทยาศาสตร์วัสดุและการทดสอบมาตรฐาน ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพราะ “วิทยาศาสตร์วัสดุ” ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมในทุกภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าไปจนถึงอุปกรณ์การแพทย์ขั้นสูง
การเติบโตของตลาดโลกในด้านวัสดุขั้นสูงมีมูลค่าสูงถึงหลายแสนล้านดอลลาร์ และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 10 ต่อปี ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญสำหรับประเทศไทยในการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมภายในประเทศ เพราะมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ 6 เรื่องดังนี้
1.ประเทศไทยมีฐานอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี และเครื่องมือแพทย์ ซึ่งล้วนต้องการวัสดุขั้นสูงและมาตรฐานการทดสอบที่เข้มงวด นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีห่วงโซ่อุปทานและโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุม ทำให้สามารถบูรณาการวิทยาศาสตร์วัสดุเข้ากับคลัสเตอร์อุตสาหกรรมที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.ความต้องการวัสดุขั้นสูงในตลาดโลกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ซึ่งรัฐบาลไทยกำลังผลักดันอย่างจริงจัง ทำให้เกิดความต้องการวัสดุน้ำหนักเบา แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง และวัสดุนาโน นอกจากนี้ ในด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ก็มีความต้องการวัสดุสำหรับชิปเซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์แบบยืดหยุ่น และส่วนประกอบสำหรับการคำนวณควอนตัม
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีศักยภาพอย่างมากในการพัฒนาวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยสามารถใช้ประโยชน์จากความเข้มแข็งด้านการเกษตรและการจัดการของเสีย เพื่อพัฒนาพลาสติกชีวภาพ วัสดุผสมย่อยสลายได้ และวัสดุรีไซเคิล ซึ่งสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green) ของรัฐบาล
3.ประเทศไทยมีโอกาสที่จะเป็นศูนย์กลางการทดสอบวัสดุของอาเซียน เนื่องจากหลายประเทศในภูมิภาคยังขาดสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการทดสอบวัสดุระดับโลก และต้องพึ่งพาหน่วยงานรับรองจากสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือยุโรป การพัฒนาศูนย์ทดสอบและรับรองมาตรฐานในประเทศไทยจะช่วยลดการพึ่งพาต่างประเทศและสร้างรายได้ให้กับประเทศ
4.ด้วยการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และการรักษาพยาบาลของภูมิภาค ประเทศไทยมีโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการพัฒนาและทดสอบวัสดุทางการแพทย์ขั้นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวัสดุชีวการแพทย์ที่มีความซับซ้อน เช่น วัสดุที่เข้ากันได้กับร่างกายสำหรับการผ่าตัดและการรักษา วัสดุสำหรับการฝังในร่างกายที่มีความทนทานและปลอดภัยสูง และระบบนำส่งยาขั้นสูงที่สามารถควบคุมการปลดปล่อยตัวยาได้อย่างแม่นยำ
นอกจากนี้ยังมีโอกาสในการพัฒนาวัสดุสำหรับการฟื้นฟูเนื้อเยื่อและการทำอวัยวะเทียม ซึ่งเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงถึงหลายแสนล้านบาทและมีการเติบโตในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 15 ต่อปี การพัฒนาในด้านนี้จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำในระดับโลก
5.ศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทยในปัจจุบันมีความพร้อมอย่างสูงที่จะต่อยอดสู่อุตสาหกรรมวัสดุศาสตร์ระดับโลก โดยมีสถาบันการศึกษาและหน่วยงานวิจัยชั้นนำของประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์มายาวนานกว่า 30 ปี มีผลงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง และมีการจดสิทธิบัตรนวัตกรรมด้านวัสดุศาสตร์มากกว่า 1,000 รายการในทศวรรษที่ผ่านมา
ทั้งยังมีเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่งกับสถาบันวิจัยชั้นนำระดับโลกในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ซึ่งพร้อมที่จะสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพด้านวัสดุศาสตร์ของไทยผ่านโครงการวิจัยร่วม การแลกเปลี่ยนนักวิจัย และการถ่ายทอดเทคโนโลยี
6.การพัฒนาสู่การเป็นศูนย์กลางด้านวัสดุศาสตร์จะช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะบริษัทที่ต้องการพัฒนาและทดสอบวัสดุนวัตกรรมสำหรับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์วัสดุให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐ ทั้งในด้านนโยบายและงบประมาณ โดยเฉพาะการลงทุนวิจัยและพัฒนา การสร้างบุคลากรระดับสูง และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา ภาคอุตสาหกรรมและภาครัฐ สถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยของไทยต้องได้รับการสนับสนุนให้ขยายงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์วัสดุ พร้อมทั้งเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับพันธมิตรในระดับนานาชาติ เพื่อยกระดับมาตรฐานการวิจัยและพัฒนาให้ทัดเทียมระดับสากล
การผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางวิทยาศาสตร์วัสดุแห่งอาเซียนเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด เนื่องจากเป็นการหลีกเลี่ยงการแข่งขันโดยตรงกับประเทศเพื่อนบ้านที่มุ่งเน้นด้านซอฟต์แวร์ ฟินเทค การผลิต และอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI แต่เป็นการสร้างตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง หากประเทศไทยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันนี้ จะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันก่อนที่ประเทศอื่นในอาเซียนจะตามทัน
การพัฒนาอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์วัสดุจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมที่มีอยู่ และนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกันผลักดันให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริง เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศไทยในอนาคต