เพิ่ม ‘ยาแรง’ เร่งจัดการคดีปั่นหุ้น ฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน

เพิ่ม ‘ยาแรง’ เร่งจัดการคดีปั่นหุ้น ฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน

“ความยุติธรรมที่ล่าช้าเท่ากับความไม่ยุติธรรม” เป็นประโยคที่สะท้อนสถานการณ์ในตลาดทุนไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้ดี โดยมีคดีอื้อฉาวสร้างผลกระทบในมูลค่าสูงและเป็นวงกว้างซึ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน

แต่กระนั้นกว่าคดีจะถูกตัดสินนั้นคงใช้เวลาอีกหลายปี จนดูเหมือนว่าสำหรับผู้กระทำผิดนั้นการโกงตลาดทุนจะเข้าหลัก low risk แต่ high return ได้ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่าความเสี่ยงจากการถูกลงโทษและการเสื่อมเสียชื่อเสียง จนเกิดเป็นคำถามว่าประสิทธิภาพการกำกับดูแลตลาดทุนลดลงหรือไม่ โดยเฉพาะในตลาดหุ้นที่ยังคงพบการสร้างราคาหุ้น และการใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหุ้นมาต่อเนื่อง

ทีมวิจัย “กิโยตินกฎระเบียบตลาดทุน” สำรวจข้อมูลคดีหลักทรัพย์ที่สำนักงาน ก.ล.ต. เผยแพร่ต่อสาธารณะ โดยพบว่าตั้งแต่ปี 2561 - 2567 มีการกล่าวโทษและสั่งปรับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ 46 เรื่อง ในจำนวนนี้เป็นคดีการสร้างราคาหุ้นและการใช้ข้อมูลภายใน 40 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคดีที่เกิดในปี 2560-2562 ส่วนคดีที่เหลือเป็นคดีเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จและการส่งคำสั่งซื้อขายในลักษณะดักหน้า (front running)

ข้อค้นพบแรกจากข้อมูลคือ คดีร้อยละ 80 เป็นการใช้ “มาตรการลงโทษทางแพ่ง” สั่งปรับ และเรียกผลประโยชน์จากการกระทำผิดคืนรวม 696 ล้านบาท มาตรการนี้ถูกนำมาใช้หลังการแก้ไขกฎหมายหลักทรัพย์ในช่วงปี 2559 เพื่อเป็นทางเลือกแทนการดำเนินคดีอาญาซึ่งต้องการการพิสูจน์หลักฐานที่รัดกุม และรอบคอบที่สร้างต้นทุนเวลาและบุคลากรแก่สำนักงาน ก.ล.ต.

ทีมวิจัยได้รับข้อมูลด้วยว่าก่อนที่จะมีการบังคับใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งนั้น มาตรการทางอาญาสามารถเอาผิดการกระทำผิดในตลาดหุ้นได้เพียงร้อยละ 5 เท่านั้น มาตรการลงโทษทางแพ่งจึงช่วยทวงความยุติธรรมให้ตลาดหุ้นได้มากขึ้น

ข้อค้นพบที่สอง คดีข้างต้นใช้เวลาเสร็จสิ้นในชั้นสำนักงาน ก.ล.ต. โดยเฉลี่ย 1-4 ปี โดยหากนับตั้งแต่วันแรกที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายการปั่นหุ้น หรือใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหุ้นจนถึงวันที่สำนักงาน ก.ล.ต. ประกาศลงโทษ ซึ่งทีมวิจัยขอเรียกระยะเวลานี้ว่า “ระยะเวลาล่าช้าในการดำเนินคดี” (enforcement delay) คดีที่ฟ้องอาญาใช้เวลาเสร็จสิ้นในชั้นสำนักงาน ก.ล.ต. เฉลี่ย 381 วัน (ประมาณ 1 ปี) ส่วนคดีที่สั่งปรับตามมาตรการลงโทษทางแพ่งใช้เวลาเฉลี่ยถึง 1,523 วัน (ประมาณ 4 ปี 2 เดือน)

ทีมวิจัยยังพบว่า มาตรการลงโทษทางแพ่งใช้เวลาเฉลี่ยต่อปีนานขึ้นจาก 519 วันสำหรับคดีที่ประกาศลงโทษในปี 2561 เป็น 2,050 วันในปี 2567 ซึ่งนำไปสู่คำถามที่ยังไม่มีคำตอบว่า มาตรการลงโทษทางแพ่งอาจเริ่มเสื่อมประสิทธิภาพแล้วหรือไม่

ตัวเลขข้างต้นมีความหมายว่า นักลงทุนที่ติดตามคดีเหล่านี้จะต้องรออย่างน้อย 1-4 ปีกว่าสำนักงาน ก.ล.ต. จะยืนยันว่ากรณีปั่นหุ้น หรือใช้ข้อมูลภายในกระทำผิดจริงหรือไม่ ส่วนในมุมมองผู้กระทำผิดคงเห็นว่าระยะเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ “ลอยนวล” ได้ระยะหนึ่งกว่าที่สำนักงาน ก.ล.ต. จะยืนยัน

ทั้งนี้ ข้อมูลนี้ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบได้ว่าคดีอาญาเร็วกว่ามาตรการลงโทษทางแพ่ง เนื่องจากคดีอาญายังต้องใช้เวลาในชั้น DSI หากเป็นคดีใหญ่ ชั้นอัยการและชั้นศาลอาญาซึ่งกินเวลายาวนาน ส่วนคดีแพ่งส่วนใหญ่จบทันทีเมื่อสำนักงาน ก.ล.ต.ประกาศสั่งปรับ โดยมีบางคดีที่ผู้ถูกกล่าวโทษขอสู้คดีต่อในศาลแพ่ง แต่ก็มีจำนวนไม่มากนักและทั้งหมดแพ้คดีให้แก่สำนักงาน ก.ล.ต.

ข้อค้นพบที่สาม ในภาพรวมค่าปรับทางแพ่งคดีปั่นหุ้น และใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหุ้นที่ผ่านมา ต่ำกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับอยู่มาก โดยคดีที่ถูกลงโทษด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่ง จะมีตัวเลขค่าปรับให้อ้างอิงง่ายกว่าบทลงโทษทางอาญา

กฎหมายหลักทรัพย์ฯ กำหนดว่า หากประเมินผลประโยชน์จากการกระทำผิดไม่ได้ โทษปรับอยู่ที่ 5 แสนบาท และสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท แต่หากประเมินผลประโยชน์ได้ โทษปรับอยู่ที่ 5 แสนบาท และสูงสุด 2 เท่าของผลประโยชน์ที่ได้รับ

โดยส่วนใหญ่คดีแพ่งที่ประเมินผลประโยชน์จากการกระทำผิดไม่ได้นั้น ถูกปรับที่ 5 แสนบาท ซึ่งเป็นโทษปรับขั้นต่ำ ในขณะที่หากพิจารณาผลประโยชน์จากการกระทำผิด โดยยึดตัวเลขจากคดีที่สามารถประเมินมูลค่านี้ได้ ผลประโยชน์ที่ได้รับเฉลี่ยอยู่ที่ 2.2 ล้านบาท หรืออีกตัวเลขที่อ้างอิงได้คือค่ามัธยฐานที่ 8.5 แสนบาท ค่าปรับดังกล่าวจึงต่ำกว่าผลประโยชน์ที่จะได้จากการกระทำผิดอยู่มาก จึงไม่น่าจะมีผลให้ผู้กระทำผิดเกรงกลัวแต่อย่างใด

ส่วนบทลงโทษปรับที่กำหนดสูงสุดที่ 2 เท่า ถือว่าต่ำไปเมื่อเทียบกับบทลงโทษสูงสุดในต่างประเทศ อย่างมาเลเซีย สิงคโปร์ และสหรัฐ ที่กำหนดค่าปรับสูงสุดไม่เกิน 3 เท่า

เพื่อเพิ่มบทบาทของสำนักงาน ก.ล.ต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเร่งไล่ปราบคดีโกงตลาดหุ้น ให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น และพยายามปรับปรุงกฎหมายกำกับดูแลตลาดทุนครั้งใหญ่ ทีมวิจัยขอร่วมเสนอแนะ ดังนี้ 

ประการแรก ควรปรับปรุงการทำงานให้สำนักงาน ก.ล.ต. สามารถรวบรวมข้อมูลธุรกรรมการเงิน และการประสานคดีข้ามหน่วยงานกับ ปปง. DSI และหน่วยงานอื่น ๆ ให้เร็วขึ้น จะช่วยเพิ่มความเร็วในการบังคับใช้กฎหมายได้ เนื่องจากคดีหลักทรัพย์มีความซับซ้อนสูงในแง่ของการมีบุคคล และธุรกรรมการเงินเกี่ยวข้องจำนวนมาก แต่การประสานขอข้อมูลธุรกรรมการเงินจากฝ่ายต่าง ๆ เพื่อประกอบเป็นหลักฐานโดยเฉพาะสถาบันการเงินเป็นเรื่องที่ต้องเวลามากพอสมควร และบางกรณีไม่ได้รับความร่วมมือเร่งด่วน

โดยอาจถอดบทเรียนการทำงานของหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจ (Task Force) ในการปราบขบวนการคอลเซนเตอร์ว่าทำอย่างไรถึงประสานงานข้ามหน่วยงานกันได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องรอให้เกิดความเสียหายบานปลายก่อนถึงจะเร่ง “ล้อมคอก”

ประการที่สอง เสนอให้สำนักงาน ก.ล.ต. พิจารณาเพิ่มบทลงโทษปรับให้สูงขึ้น โดยอย่างน้อยค่าปรับจะต้องไม่ต่ำกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำผิด ซึ่งมีสถิติของคดีในอดีตให้อ้างอิงได้

ข้อเสนอในการเพิ่มโทษนี้มีเหตุผล และความจำเป็นหนักแน่นขึ้น เพื่อชดเชยการบังคับใช้กฎหมายที่อาจทำได้ยาก และใช้เวลามากขึ้นจากความท้าทายต่าง ๆ ในอนาคต เช่น การโอนผลประโยชน์จากการกระทำผิดผ่านบัญชีคริปโตเคอร์เรนซี หรือบัญชีม้าต่าง ๆ ทำให้หาเส้นทางการเงินยากขึ้น

การทำให้นักลงทุนกลับมามีความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทยอีกครั้งจึงไม่ได้มีเพียงการกระตุ้นตลาดทุนด้วยเม็ดเงินมหาศาลและมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้แต่รวมถึงความมุ่งมั่น เร่งปราบขบวนการโกงตลาดทุนให้เร็ว และลงโทษหนักมากขึ้น

บทวิเคราะห์นี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดบทความ “โครงการกิโยตินกฎระเบียบตลาดทุน” โดยทีดีอาร์ไอและกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF)