“ซี้อหนี้”ใช้เงินใคร ช่วย ปชช.-อุ้มแบงก์??

ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ โดยสัดส่วนหนี้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อยู่ที่ 89.0%
หนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาส 3 ปี 2567 มีมูลค่า 16.34 ล้านล้านบาท ขยายตัว 0.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หากสามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนได้ จะช่วยให้ประชาชนมีเงินหมุนเวียนกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ เพราะครัวเรือนไทยเป็นหนี้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ สูงถึง 5.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 34.3% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด หนี้เพื่อยานยนต์ มูลค่า 1.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10.2% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมดหนี้เพื่อการประกอบธุรกิจ มูลค่า 2.9 ล้านล้านบาท คิดเป็น 17.7% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล มูลค่า 4.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 28% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด
ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคล มีมูลค่า 3.3 ล้านล้านบาท คิดเป็น 20% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ มีมูลค่า 0.9 ล้านล้านบาท คิดเป็น 5.3% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด สินเชื่อบัตรเครดิต มีมูลค่า 0.5 ล้านล้านบาท คิดเป็น 2.8% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด.สินเชื่ออื่นๆ มีมูลค่า 1.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 9.8% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด
การผุดแนวคิดการซื้อหนี้ประชาชนออกจากระบบธนาคารทั้งหมด โดยให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เข้ามารับซื้อ NPL จากธนาคารและสถาบันการเงิน แล้วให้ประชาชนผ่อนชำระในจำนวนที่น้อยลงจนปลดหนี้ได้สำเร็จ จึงได้รับความสนใจว่ามีความเป็นได้หรือไม่ และมีการนำวิเคราะห์ต่อว่าหากดำเนินการควบคู่กับการฟื้นฟูรายได้ เช่น การส่งเสริมอาชีพด้วย จะสามารถช่วยประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ ก็มีโครงการพักหนี้เกษตรกร หรือคลินิกแก้หนี้ของรัฐบาลประกาศออกมาแต่ผู้ที่เข้าร่วมโครงการและได้รับการช่วยเหลือได้แค่ 3.2 ล้านคนจากจำนวนคนไทยที่เป็นหนี้กว่า 25.5 ล้านคน
นักวิชาการภาควิชาคณิตศาสตร์และสถิติ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) “รศ.ดร.วิชัย วิทยาเกียรติเลิศ”ให้มุมมองว่า ตามกลไกตลาดปกติของการรับซื้อ NPLราคาที่ลดลงเฉลี่ย 35 % ของยอดหนี้ที่รับซื้อ ซึ่งจะสามารถนำเงินเข้าสู่ระบบได้ 1–2.1 แสนล้านบาท และช่วยดันผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)ให้เพิ่มขึ้น 1.5 เท่า เป็นจำนวนเงินราว 1.6-3.2 แสนล้านบาท ทั้งยังช่วยลด NPLได้ถึง 50 %-100 % แต่ต้องสร้างวินัยทางการเงินคู่ขนานไปด้วยและรัฐบาลจะต้องสร้างความเป็นธรรมและประโยชน์สูงสุดกับประชาชนผู้เป็นลูกหนี้ และกำกับให้ AMC ดำเนินการอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้
ที่ผ่านมารัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีมาตรการที่ช่วยเหลือหนี้บัตรเครดิต เช่น ตรึงอัตราการจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตไว้ที่ 8 % ถึงสิ้นปี 2568 การแก้หนี้เสีย บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคล ที่ค้างชำระเกิน 120 วัน โดยรวมแก้หนี้ในครั้งเดียวได้ หากมีเจ้าหนี้หลายแห่ง ยอดหนี้รวมไม่เกิน 2 ล้านบาท ขอลดดอกเบี้ย เหลือ 3 %-5 % ต่อปี และเปลี่ยนเป็นผ่อนจ่ายรายงวด สูงสุด 10 ปี โดยลูกหนี้ต้องมีรายได้ อายุไม่เกิน 70 ปี และไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หากจะดำเนินการจริงๆ จะต้องมีมาตรการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ว่าเป็นการช่วยประชาชนอย่างแท้จริงไม่ใช่เป็นการช่วยเหลือสถาบันการเงิน และเอื้อประโยชน์ให้เอกชนบางกลุ่ม