รฟท.ยื่นหนังสือถึง 'อัยการสูงสุด' รับคดีข้อพิพาท 'เขากระโดง'

รฟท.ยื่นหนังสือถึง 'อัยการสูงสุด' รับคดีข้อพิพาท 'เขากระโดง'

การรถไฟฯ ยื่นหนังสือถึง “อัยการสูงสุด” ดำเนินคดีเพิกถอนที่ดิน “เขากระโดง” ชี้มีผู้ครอบครองจำนวนมากและบางคนเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ใช้ประโยชน์ที่ดินแสวงหากำไร

KEY

POINTS

  • การรถไฟฯ ยื่นหนังสือถึง “อัยการสูงสุด” รับข้อพิพาทเพิกถอนโฉนดที่ดิน “เขากระโดง” ไว้ดำเนินคดี เหตุสร้างผลกระทบต่อรัฐและค

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ลงนามในหนังสือถึงอัยการสูงสุด ลงวันที่ 21 มีนาคม 2568 เรื่อง ขอความอนุเคราะห์รับดำเนินคดีแทนการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมีรายละเอียดระบุว่า ด้วยการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตั้งแต่ส่วนแยกจากสถานีรถไฟบุรีรัมย์ไปจนถึงเขากระโดง รวมระยะทาง 8 กิโลเมตร เนื้อที่รวมประมาณ 5,083 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลเสม็ดและตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์

ซึ่งเป็นที่ดินที่กรมรถไฟหลวงสำรวจและจัดซื้อตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตสร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ลงประกาศวันที่ 9 พฤศจิกายน 2464 พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ลงประกาศวันที่ 25 พฤศจิกายน 2464 และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินแลอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ

ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟแผ่นดินจัดสร้าง ลงประกาศวันที่ 22 ธันวาคม 2465 ซึ่งที่ดินดังกล่าวเป็น "ที่ดินรถไฟ" ตามมาตรา 3 (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรมรถไฟแผ่นดิน ตามมาตรา 25 และได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวที่ห้ามมิให้ประชาชนเข้ายึดถือหรือครอบครองรวมทั้งโต้แย้งสิทธิใดๆ กับการรถไฟแห่งประเทศไทย เว้นแต่จะได้มีประกาศหรือกฎหมายตามพระราชกระแสว่าขาดจากการเป็นที่ดินรถไฟแล้ว

เมื่อที่ดินของกรมรถไฟโอนเป็นกรรมสิทธิ์แก่การรถไฟแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2474 การรถไฟแห่งประเทศไทยจึงเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว

ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในบริเวณที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทยข้างต้นนั้น กรมที่ดินได้ออกเอกสารแสดงสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ผู้ครอบครองที่ดินของการถไฟแห่งประเทศไทยโดยมิชอบจำนวนมาก เมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้นการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ใช้สิทธิทางศาลฟ้องขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ขับไล่และเรียกค่าเสียหายแก่ผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าว

และการรถไฟแห่งประเทศไทยยังใช้สิทธิคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินจำนวน 40 แปลงของราษฎร จำนวน 35 ราย ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาให้การรถไฟแห่งประเทศไทยชนะคดี โดยให้ผู้ครอบครองที่ดินโดยมิชอบนั้นชำระค่าเสียหายและออกจากที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย

ส่วนที่คัดค้านการออกโฉนดที่ดิน ศาลก็ได้มีคำพิพากษาให้การรถไฟแห่งประเทศไทยชนะคดี เป็นเหตุให้กรมที่ดินระงับการออกโฉนดที่ดินทั้งหมด โดยตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842 - 876/2560 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561 และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดีหมายเลขดำที่ 111/2563 คดีหมายเลขแดงที่ 1112/2563 ศาลได้มีคำพิพากษาแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินบริเวณแยกเขากระโดงว่าเป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย

ต่อมาการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ขอให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิที่ดินแปลงอื่นๆ นอกเหนือจากที่มีข้อพิพาท แต่กรมที่ดินไม่ดำเนินการ การรถไฟแห่งประเทศไทยจึงได้ยื่นฟ้องกรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดินต่อศาลปกครองกลาง ซึ่งศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 2494/2564 คดีหมายเลขแดงที่ 582/2566 ว่าที่ดินบริเวณแยกเขากระโดงตามคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองคดี

และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นที่ดินกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และมีคำพิพากษาให้อธิบดีกรมที่ดินแต่งตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินเพื่อดำเนินการเพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับซ้อนกับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยต่อไป

ภายหลังที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ร่วมกับสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์สำรวจทำแผนที่ยืนยันแนวเขต แต่ขณะอยู่ระหว่างดำเนินการ อธิบดีกรมที่ดินกลับมีคำสั่งไม่เพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินและสั่งยุติเรื่อง โดยเห็นว่าหากการรถไฟแห่งประเทศไทยเห็นว่ามีสิทธิในที่ดินดีกว่าก็เป็นเรื่องที่การรถไฟแห่งประเทศไทยจะต้องไปดำเนินการเพื่อพิสูจน์สิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางศาลต่อไป

เหตุนี้การรถไฟแห่งประเทศไทยจึงมีความจำเป็นต้องยื่นฟ้องคดีต่อผู้ที่ครอบครองที่ดินที่กรมที่ดินได้ออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นที่ดินที่ทับซ้อนกับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยต่อไป โดยขณะนี้เท่าที่ได้ตรวจสอบตามเอกสารของกรมที่ดิน มีการออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินทั้งโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำนวน 995 ฉบับ ส่วนรายละเอียดที่เกี่ยวกับชื่อผู้ถือเอกสารสิทธิและลักษณะการใช้ประโยชน์ของที่ดินแต่ละแปลงนั้น การถไฟแห่งประเทศไทยจะได้รวบรวมและจัดทำบัญชีรายละเอียดส่งมอบให้ท่านต่อไป

การรถไฟแห่งประเทศไทยขอเรียนว่าที่ดินบริเวณแยกเขากระโดงนั้นเป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐเพื่อกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย อันจะสามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ให้กับประชาชนทั่วไปได้ การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ใช้ความพยายามเรียกคืนที่ดินดังกล่าวมาโดยตลอด แต่เนื่องจากมีผู้ครอบครองที่ดินเป็นจำนวนมากและบางคนเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงสภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินไปในทางแสวงหากำไรเชิงพาณิชย์ด้วย

ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่สนใจของประชาชนทั่วประเทศ การนำที่ดินของรัฐไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนย่อมมีผลกระทบต่อรัฐและความรู้สึกของประชาชนอย่างกว้างขวาง และเป็นคดีที่มีการนำเสนอข่าวทางสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง จึงถือเป็นคดีที่มีความสำคัญที่อัยการสูงสุดจะโปรดรับไว้ดำเนินคดีแทนการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ ตามข้อ 9 ของระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีแพ่งของพนักงานอัยการ พ.ศ.2560

เนื่องจากการรถไฟแห่งประเทศไทยมีบุคลากรไม่เพียงพอที่จะดำเนินคดีได้ จึงขอความอนุเคราะห์มายังอัยการสูงสุดได้โปรดรับดำเนินคดีแทนการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยยื่นฟ้องคดีต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับซ้อนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากผู้ถือเอกสารสิทธิ์และผู้ยึดถือครองครองในที่ดินบริเวณดังกล่าวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยได้มอบหมายให้บุคคลดังต่อไปนี้เป็นผู้ประสานงานคดี

1. นายสืบ ประทุมศิริ หัวหน้าสำนักงานอาณาบาล

2. นายเจตนา วุฒิญาณ ผู้อำนวยการศูนย์สำรวจและเอกสารสิทธิ์ 1

3. นายชลาวุฒิ เวียงเงิน หัวหน้ากองสำรวจและเอกสารสิทธิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

4. นายอดิศร ม่วงยิ้ม หัวหน้ากองคดี

5. น.ส.ธัญพิชชา แก้วทอง ผู้ว่าคดีผู้ช่วย 1

6. นายเตชิต จีนเชื้อ ผู้ว่าคดีผู้ช่วย 3

เพื่อการนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้จัดทำคำชี้แจงข้อเท็จจริง จำนวน 1 ชุด พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องมาเพื่อประกอบการพิจารณาด้วยแล้ว ตามเอกสารสิ่งที่ส่งมาด้วย จึงกราบเรียนเพื่อโปรดให้ความอนุเคราะห์ และขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้