'ปิ่นสาย' กางแผน 'สรรพากร' เก็บภาษี 2.37 ล้านล้าน ขยายฐานเก็บ VAT ดึงอินฟลูฯเข้าระบบ

'ปิ่นสาย' กางแผน 'สรรพากร' เก็บภาษี 2.37 ล้านล้าน ขยายฐานเก็บ VAT ดึงอินฟลูฯเข้าระบบ

“สรรพากร” รับเป้าจัดเก็บภาษีปีนี้ 2.37 ล้านล้าน ฝ่าความท้าทายภาวะเศรษฐกิจ หลังภาษีนิติบุคคล ปิโตรเลียม ภาษีนำเข้า ชะลอตัว ดันจัดเก็บ VAT เพิ่ม10% จากปีก่อน

KEY

POINTS

  • กรมสรรพากร กางแผนจัดเก็บภาษีปีนี้ 2.37 ล้านล้าน ฝ่าความ

รายได้จากการจัดเก็บภาษีถือว่าเป็นส่วนสำคัญของรายได้รัฐบาล หนึ่งในกรมจัดเก็บรายได้ที่สำคัญอย่างมากของรัฐบาลคือกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ที่รับผิดชอบการจัดเก็บรายได้เกือบ 80% ของการจัดเก็บรายได้รวมในปีงบประมาณ 2568

“ปิ่นสาย สุรัสวดี” อธิบดีกรมสรรพากร ให้สัมภาษณ์พิเศษ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงทิศทางการจัดเก็บรายได้ในปีนี้ว่า ในปีงบประมาณ 2568 กรมสรรพากรรับผิดชอบเป้าหมายในการเก็บภาษีทั้งปีงบประมาณอยู่ที่ 2.3725 ล้านล้านบาท โดยผ่านไปประมาณ 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 สามารถจัดเก็บรายได้แล้วประมาณ 7.9 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้อยู่ประมาณ 9,000 ล้านบาท โดยในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมามีการจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าหมายทุกเดือน

จัดเก็บรายได้ 5 เดือนสูงกว่าเป้า

ทั้งนี้ในช่วงต้นปีงบประมาณทีมวิชาการของกรมฯคาดหมายว่าการจัดเก็บรายได้ปีนี้น่าจะต่ำกว่าเป้าหมายอยู่ประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเป็นการคาดการณ์ตามภาวะเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ แต่เมื่อลงมาในเชิงบริหารแล้วกรมสรรพากรเองมีการออกหลักในการปฏิบัติ และติดตามการจัดเก็บรายได้เพื่อให้การจัดเก็บรายได้ออกมาได้ตามเป้าหมายมากที่สุดซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่าเราสามารถจัดเก็บได้ดี อยู่ในเกณฑ์สูงกว่าเป้าหมาย

\'ปิ่นสาย\' กางแผน \'สรรพากร\' เก็บภาษี 2.37 ล้านล้าน ขยายฐานเก็บ VAT ดึงอินฟลูฯเข้าระบบ

รับเป้าภาษีนิติบุคคล-นำเข้าท้าทาย

อย่างไรก็ตามในเชิงมิติภาษีนั้นการจัดเก็บขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา เพราะที่ผ่านมารัฐบาลก็พยายามที่จะอัดฉีดและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยในบางเดือนในการจัดเก็บรายได้จากภาษีก็พบว่าจะมีเดือนที่มีความท้าทาย โดยในช่วง 6-7 เดือนหลังที่เหลือของปีนี้ คาดว่าในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.จะเป็นช่วงที่มีการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือ ภ.ง.ด.50 ซึ่งเป็นแบบฟอร์มที่ใช้สำหรับการยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปีของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล

ซึ่งในส่วนนี้จะสะท้อนผลประกอบการจริงของภาคธุรกิจในปีที่ผ่านมา ส่วนแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี ภ.ง.ด.51 นั้นจะมีการยื่นเข้ามาช่วงปลายปีงบประมาณ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในส่วนของภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาอาจกระทบกับตัวเลขผลประกอบการในส่วนนี้

ขณะที่ภาษีปิโตรเลียมที่รัฐบาลได้มีการตั้งเป้าจะเก็บรายได้ประมาณปีละ 3.7 – 3.8 หมื่นล้านบาท แต่จากข้อมูลที่มีอยู่ในปีที่แล้วคาดว่าจะจัดเก็บได้ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท

ส่วนภาษีอีกประเภทที่มีการจัดเก็บลดลงก็คือภาษี และอากรการนำเข้าที่ลดลง ซึ่งแต่ละเดือนกรมฯมีการตั้งเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ในส่วนนี้ประมาณ3.4 - 3.5 หมื่นล้านบาทต่อเดือน แต่ในส่วนนี้ก็ถือว่าเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เราควบคุมไม่ได้เพราะขึ้นกับการนำเข้า ซึ่งบางเดือนการนำเข้าลดลงทำให้ตัวเลขส่วนนี้ลดลงไปเหลือ 2.9 – 3.1 หมื่นล้านบาทต่อเดือนก็มี

“ในเชิงภาพรวมช่วงที่เหลือของปีนี้ถือว่าเป็นความท้าทายของกรมฯพอสมควรว่าในปีนี้จะจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าหรือไม่แต่ว่าเราได้มีมาตรการและยุทธศาสตร์ในการทำงานในส่วนนี้รองรับไว้แล้ว” นายปิ่นสาย กล่าว

ตั้งเป้าเก็บ VAT เพิ่ม 10% จากปีก่อน 

สำหรับในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อธิบดีกรมสรรพากรระบุว่า VAT ถือเป็นภาษีที่สำคัญและเป็นเสมือนพระเอกของกรมฯ ในส่วนนี้มีพื้นที่ให้ทำในเรื่องของการจัดเก็บได้อีกมากโดยภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นมีการจัดเก็บอยู่ประมาณ 9 แสนล้านบาท แต่เมื่อลงไปดูแล้วยังสามารถที่จะจัดเก็บได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น เพราะที่ผ่านมายังมีการเสียภาษีไม่ถูกต้อง และบางคนที่ควรเสียภาษีก็ยังไม่เข้าระบบ ซึ่งกรมฯก็มีการพูดคุยกันว่าในเรื่องการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นเราจะเน้นเป็นพิเศษ ซึ่งเป้าหมายที่ให้กับหน่วยจัดเก็บได้ก็คือต้องจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มให้ได้เพิ่มขึ้น 10% ขึ้นไป ในส่วนนี้ก็จะไปช่วยเพิ่มรายได้ภาษีที่กรมฯรับผิดชอบเป้าหมายอยู่ในส่วนอื่นที่จัดเก็บได้ลดลง

ทั้งนี้ภาษี VAT ถือว่ามีความสำคัญเป็นรายได้อันดับ 1 ที่กรมฯจัดเก็บ ซึ่งกรอบกฎหมายได้กำหนดว่าสามารถขึ้นภาษีได้สูงสุดถึง 10% แต่ที่ผ่านมาเราคงไว้ที่ 7% โดยไม่ได้ปรับขึ้นเลย จะมีการขึ้นแค่ครั้งเดียวตอนที่เข้า IMF โดยแนวทางการปรับขึ้น VAT จะมีหรือไม่ต้องดูนโยบายของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยหากอนาคตมีความจำเป็นในเรื่องของงบประมาณรายจ่ายที่ต้องใช้เพิ่มขึ้น ก็ต้องดูทั้งในเรื่องของอัตรา และวิธีการเก็บ และต้องดูในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจ

\'ปิ่นสาย\' กางแผน \'สรรพากร\' เก็บภาษี 2.37 ล้านล้าน ขยายฐานเก็บ VAT ดึงอินฟลูฯเข้าระบบ

“การขึ้น VAT นั้นไม่มีใครอยากให้ปรับขึ้นแต่เมื่อถึงเวลาที่ภาครัฐต้องปรับขึ้นเพื่อหาเงินมาใช้ในงบประมาณเพิ่มเติมตามความจำเป็นก็เป็นทางเลือกที่ทำได้เร็วกว่าไปออกกฎหมายในการจัดเก็บภาษีใหม่ๆ โดยเรื่องของ VAT จะมีความชัดเจนภายในปีนี้ เพราะโดยปกติ VAT นั้นจะต้องมีการ Revise ทุกๆ 2 ปีเมื่อถึงเวลาเราก็ต้องมาทบทวนในเรื่องนี้ว่าจะวางแผนอย่างไร ซึ่งแน่นอนต้องดูภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลาด้วย”

 

สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปัจจุบันถือว่าเป็นรายได้อันดับ 3 ของกรมฯ จัดเก็บอยู่ประมาณปีละ 4 แสนล้านบาท ปัจจุบันมีการเปิดให้ยื่นแบบภาษีอยู่โดยการยื่นภาษีทางช่องทางทั่วไปหรือยื่นภาษีในรูปแบบเอกสารที่ทำการสรรพากรในแต่ละพื้นที่จะสามารถยื่นได้ถึงวันที่ 31 มี.ค.นี้ ส่วนยื่นผ่านช่องทางออนไลน์จะยื่นได้ถึงวันที่ 8 เม.ย.2568

จากข้อมูลถึงวันที่ 13 มี.ค.มีการยื่นแบบเข้ามาประมาณ 7.4 ล้านแบบสูงกว่าปีก่อน 13% ซึ่งในช่วง 3 เดือนแรกมีการขอคืนประมาณ 3.5 ล้านแบบ หรือประมาณ 46.9% โดยมีการคืนภาษีไปแล้วประมาณ 82% ส่วนที่เหลืออีก 18% ยังติดเกณฑ์ตรวจของกรมสรรพากรอาจเป็นเรื่องของเอกสาร หรือขั้นตอนที่กรมตรวจสอบพบว่ามีรายได้อื่นๆ ส่วนที่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติมจะทยอยยื่นเข้ามาเพิ่มขึ้นหลังจากนี้

อธิบดีกรมสรรพากรระบุว่าในภาพรวมคนที่ยื่นแบบภาษีอยู่แล้วแบบที่เป็นมนุษย์เงินเดือนไม่น่าห่วงเท่ากับกลุ่มที่ไม่ยื่นภาษี คือมีเงินได้แต่ไม่เคยยื่นเลย โดยจากข้อมูลในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มที่ไม่ยื่นภาษีคือกลุ่มที่เป็นคนรุ่นใหม่ หรือเพิ่งเริ่มประกอบอาชีพ โดยเป็นอาชีพที่สอดคล้องกับกลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับดิจิทัล เช่น การขายของออนไลน์ การทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อินฟลูเอนเซอร์ รับรีวิวสินค้า ซึ่งกรมฯก็มีการหารือกันว่าต้องให้ความสำคัญกับคนกลุ่มนี้เป็นพิเศษ

ตอนนี้เหลือเวลาประมาณ 10 กว่าวันในการยื่นแบบภาษีขอให้ยื่นแบบภาษี ส่วนยื่นผิดถูกนั้นยังสามารถคุยกันได้ แต่ถ้าไม่ได้ยื่นเลยอีก 2-3 ปี กรมฯตรวจเจอแน่เพราะในเรื่องของธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ทิ้งร่องรอยไว้อยู่แล้ว ขณะที่กรมฯเองในโครงสร้างก็มีหน่วยงานที่ตามเรื่องนี้โดยตรง กลุ่มที่เป็นห่วงคือการขายของออนไลน์ การทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อินฟลูเอนเซอร์ รับรีวิวสินค้า เพราะดูข้อมูลแล้วไม่ยื่นกันเลย เราอยากให้มีการยื่นภาษีให้ถูกต้องและให้ความสำคัญมากเพราะการมาเรียกปรับทีหลังไม่มีประโยชน์ต่อทั้งกรมฯและผู้เสียภาษี

 

“ผมเองก็ติดตามโซเชียลมีเดียร์ก็เห็นคนที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ชั้นนำ หรือขายสินค้าออนไลน์ หลายคน พอเอาชื่อจริงมาให้ลูกน้องเปิดดูว่าเขาเหล่านั้นเสียภาษีหรือไม่ เชื่อมั้ยครับอย่าว่าแต่เสียภาษีเลย ยื่นแบบภาษียังไม่ยื่นเลย ข้อมูลย้อนไป 3-4 ปีไม่เคยยื่นเลย สรรพากรมีอำนาจย้อนได้ 2 ปี และขยายเวลาตรวจสอบได้เป็น 5 ปี หากตรวจพบว่ามีรายได้เข้าเกณฑ์แล้วไม่เสียภาษีก็จะต้องชำระพร้อมเบี้ยปรับ ซึ่งจากต้องเสีย 10,000 ก็กลายเป็น 50,000 บาท ซึ่งอยากเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาหลายครั้งแล้วก็ไม่อยากให้เกิด เพราะเด็กรุ่นใหม่ทำงานได้เงินเท่าไหร่ก็ใช้หมดซึ่งพอเรียกเก็บไปไม่มีเงินมาจ่ายสักคน”

อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวต่อว่าในกลุ่มที่ทำอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ ขายของออนไลน์ และรับรีวิวสินค้า ในการยื่นภาษีต้องดูว่าประเภทของรายได้เป็นอย่างไรหากรับเป็นค่าจ้างก็เหมือนกับการยื่นแบบรายได้ปกติ หากมีต้นทุนในการรีวิวสินค้า ก็สามารถหักค่าใช้จ่ายและยื่นรายได้ตามจริง แต่หากเป็นผู้ที่รายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีก็ต้องมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งถือเป็นค่าบริการซึ่งจะต้องนำภาษีมาส่งให้กับภาครัฐ นอกจากนั้นอาชีพอินฟลูฯต้องยื่นรายได้กลางปีด้วยไม่ใช่แค่ยื่นภาษีต้นปีแล้วจบ ส่วนรายได้ที่รับในรูปแบบสินค้า เช่น ที่พัก อาหารในโรงแรม ต้องคิดเสมือนเป็นเงินได้ และประเมินเป็นรายได้ที่นำส่งรายได้และต้องมีการยื่นเงินได้ให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน

สำหรับค่าลดหย่อนภาษีในกลุ่มอาชีพนี้ก็เช่นเดียวกับกลุ่มผู้มีเงินได้อื่นๆโดยสามารถขอลดหย่อนภาษีได้กว่า 20 รายการ คิดเป็นค่าลดหย่อนเต็มจำนวนสูงสุดมากกว่า 1 ล้านบาทต่อปีซึ่งก็ต้องมีการบริหารจัดการในส่วนการลดหย่อยภาษีด้วยเช่นกัน โดยรายละเอียดต่างๆทั้งการยื่นภาษีสามารถขอคำปรึกษาได้ที่กรมสรรพากร ทั้งในสำนักงานพื้นที่ และขอคำแนะนำผ่านช่องทางออนไลน์

ในส่วนของการลงโทษคนที่ไม่เสียภาษีเงินได้อธิบดีกรมสรรพากรระบุว่าจะมีทั้งโทษแพ่งและอาญาซึ่งในปัจจุบันมักจะใช้โทษทางแพ่งโดยมีทั้งส่วนของเบี้ยปรับและเงินเพิ่มโดยค่าปรับนั้นมีตั้งแต่ 0 – 2 เท่าของภาษีที่ต้องจ่าย นอจากนั้นยังมีส่วนเงินเพิ่มคิดที่อัตรา 1.5% ต่อเดือน ซึ่งหากปรับกันเต็มที่นั้นอาจเกินกว่ามูลค่าภาษีที่ต้องเสียจริงกว่า 4 เท่า ตรงนี้เชื่อว่าไม่มีใครอยากจ่าย ส่วนโทษทางอาญากรมฯก็ไม่อยากจะใช้โทษทางอาญายกเว้นว่าเป็นการกระทำที่มีความผิดร้ายแรงมาก