Silicon Valley หุบเขาแห่งความหวัง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “เมืองอัจฉริยะ” (Smart City) ได้รับการพูดถึงกันอย่างกว้างขวางในประเทศไทย ทั้งในแวดวงนโยบาย และ สื่อ อย่างไรก็ตาม คำถามที่สำคัญคือ เมืองอัจฉริยะที่เราพูดถึงนั้นฉลาดอย่างไร? ฉลาดเพราะเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวหรือมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น?
ด้วยความสงสัยในความหมายของ “ความอัจฉริยะ” ผมจึงเลือกศึกษาแนวทางการพัฒนาเมืองอัจฉริยะทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศจนกลายมาเป็นวิทยานิพนธ์ที่มีชื่อว่า “การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ : กรณีศึกษาสามย่านสมาร์ตซิตี้” โดยวิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาฯ
การศึกษานี้ไม่เพียงแต่ตั้งคำถามว่า “เมืองฉลาด” หมายถึงอะไร แต่ยังพยายามถอดบทเรียนว่า ความฉลาดของเมือง อาจไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีหรือโครงสร้างพื้นฐานเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก วัฒนธรรม สังคม และ บรรยากาศ ที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมในระยะยาว โดยการวิจัยนี้ใช้กรอบแนวคิด 3RC (Restrictive, Reflective, Rationalistic/Pragmatic และ Critical Schools of Thought) วิเคราะห์แนวทางการพัฒนาเมือง โดยแบ่งมุมมองของ “เมืองอัจฉริยะ” ออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ซึ่งสะท้อนวิธีการพัฒนาเมืองที่แตกต่างกัน
(1) เมืองที่เน้นเทคโนโลยีเป็นศูนย์กลาง เช่น ซองโด ในเกาหลีใต้ ที่ใช้ IoT และ AI จัดการทุกมิติของเมืองโดยเชื่อว่าเทคโนโลยีคือคำตอบของทุกปัญหา (2) กลุ่มที่สองให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและทุนมนุษย์ เช่น อัมสเตอร์ดัม ในเนเธอร์แลนด์ ที่พัฒนาคุณภาพชีวิตและความยั่งยืนควบคู่กับการใช้เทคโนโลยี (3) กลุ่มที่สามเน้นการเสริมสร้างชุมชนและสังคมก่อนเทคโนโลยี เช่น เมเดยิน (Medellín) ในโคลอมเบีย ที่ฟื้นฟูเมืองผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชน
และ (4) กลุ่มสุดท้ายคือเมืองที่วิพากษ์แนวคิดเมืองอัจฉริยะ โดยมองว่าความฉลาดไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่อยู่ที่วัฒนธรรม โอกาส และ บรรยากาศที่เมืองสร้างให้กับผู้คน
ในวันนี้ผมจะพูดถึงเมืองกลุ่มหลังสุดที่ไม่ได้โปรโมตตัวเองว่าเป็น “สมาร์ตซิตี้” แต่กลับกลายเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมที่สำคัญที่สุดในโลก อย่าง Silicon Valley ที่ไม่ได้พึ่งพาเทคโนโลยีเพื่อบริหารจัดการชีวิต แต่สร้าง “บรรยากาศ” ที่ส่งเสริมให้ผู้คนกล้าฝัน ลองผิดลองถูก และสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขณะที่หลายเมืองทั่วโลกมุ่งมั่นเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็น “สมาร์ตซิตี้” ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีอัจฉริยะ เช่น Internet of Things (IoT) หรือระบบ AI เพื่อการจัดการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ Silicon Valley ซึ่งเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกกลับไม่ได้เลือกเส้นทางนี้
แม้จะเป็นที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Google, Apple และ Meta แต่ San Jose ซึ่งเป็นเมืองหลักของ Silicon Valley กลับมีอันดับในดัชนี IMD Smart City Index ที่ต่ำกว่ากรุงเทพฯ ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนให้เห็นว่า “ความฉลาด” ของเมือง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีโครงสร้างพื้นฐานที่ล้ำสมัยเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรม ซึ่งเราอาจถอดความสำเร็จของ Silicon Valley ได้คร่าวๆ ดังนี้
ประการแรก เมืองมีวัฒนธรรมที่สนับสนุนให้คนสร้างสรรค์และกล้าเสี่ยง Silicon Valley สร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างต่อการทดลอง ความล้มเหลว และ การคิดค้นสิ่งใหม่ ความสำเร็จของบริษัทเทคโนโลยีล้วนเกิดจากเมืองที่มีบรรยากาศแบบนี้ ใน Silicon Valley มักพูดกันว่า “Fail Fast, Fail Often” ทุกคนต่างยอมรับว่า “ความล้มเหลวคือขั้นตอนหนึ่งของความสำเร็จ”
ทุกวันใน Silicon Valley มีคนล้มเหลว แต่ทุกวันนั้นก็มีคนเริ่มต้นใหม่ ความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ แต่คือบันไดอีกขั้นหนึ่งที่พาไปหาความสำเร็จ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทย ที่เน้นวัฒนธรรม “อย่าพลาด อย่าทำผิด” คนจำนวนมากจึงไม่กล้าเสี่ยงหรือทดลอง เพราะกลัวเสียศักดิ์ศรีหรือถูกมองว่าไม่มีความสามารถ ซึ่งดูแล้วไม่เปิดพื้นที่ให้คนได้ล้มเหลวอย่างสร้างสรรค์
ประการที่สอง เมืองได้รับการสนับสนุนจากสถาบันชั้นนำระดับโลก สถาบันการศึกษาระดับโลก เช่น Stanford University และ University of California, Berkeley มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน Silicon Valley ให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมระดับโลก เพราะมหาวิทยาลัยเหล่านี้เป็นศูนย์กลางของการวิจัยที่สามารถต่อยอดเป็นเทคโนโลยีและธุรกิจได้จริง
Stanford University มีความใกล้ชิดกับชุมชนผู้ประกอบการ โดยสนับสนุนการสร้างสตาร์ตอัปผ่านโปรแกรมธุรกิจและเครือข่ายนักลงทุน ส่วน UC Berkeley เน้นงานวิจัยที่ก้าวล้ำในสาขาเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ทั้งสองสถาบันเปิดโอกาสให้นักศึกษาและนักวิจัยได้ทดลองและล้มเหลวในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ยิ่งส่งเสริมวัฒนธรรมการสร้างสรรค์ที่ไม่ยึดติดกับความสมบูรณ์แบบ ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ประการที่สาม เมืองมีเครือข่ายทางสังคมที่เข้มแข็ง สิ่งนี้ช่วยสร้างระบบที่เชื่อมโยงนักลงทุน ผู้ประกอบการ และ นักวิจัยในพื้นที่ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ และ นำไปสู่การเติบโตของธุรกิจใหม่ๆ โดยวัฒนธรรมการแบ่งปันและเครือข่าย โดยคนใน Silicon Valley ชอบไปแบ่งปันไอเดียในงานสัมมนา เทศกาลเทคโนโลยี หรือแม้แต่การพูดคุยกันในคาเฟ่ เพราะคนที่นี่รู้ว่าการแบ่งปันความรู้ไม่ได้ลดโอกาสของตัวเอง แต่เป็นการเพิ่มโอกาสสำหรับทุกคน (Network Effect)
บทเรียนจาก Silicon Valley ทำให้เราคิดได้ว่า สุดท้ายแล้ว “ความรู้สึก” อาจสร้าง “เมืองนวัตกรรม” ได้มากกว่า “เทคโนโลยี” สิ่งที่ Silicon Valley สอนเราคือ เทคโนโลยีเป็นเพียงผลลัพธ์ แต่สิ่งที่ผลักดันเทคโนโลยีคือวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และความรู้สึกของผู้คนที่อยู่ในพื้นที่นั้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมสมาร์ตซิตี้ที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย หลายๆ เมืองอาจประสบความสำเร็จในการจัดการเมือง แต่กลับล้มเหลวในการดึงดูดชีวิตและพลังสร้างสรรค์ของประชากร
รัฐไทยมักเชื่อว่าการสร้างสมาร์ตซิตี้ จะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างนวัตกรรม แต่ Silicon Valley ชี้ให้เห็นว่าปัจจัย A กับ B นี้อาจไม่มีความสัมพันธ์กันโดยตรง เพราะการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและนวัตกรรมเกี่ยวข้องกับ “วัฒนธรรมและความรู้สึกในพื้นที่” มากกว่าเทคโนโลยีที่ใส่เข้าไป
ดังนั้น การสร้างเมืองที่ประสบความสำเร็จในเชิงนวัตกรรมไม่ใช่แค่เรื่องของการใส่เซนเซอร์หรือระบบ AI แต่ต้องใส่ใจกับการสร้างวัฒนธรรมที่เปิดกว้าง การยอมรับความล้มเหลว และการสนับสนุนให้ทุกคนมีโอกาสเริ่มต้นที่เท่าเทียม
หากบรรยากาศในระบบเศรษฐกิจและการเมืองยังคงทำให้คนรู้สึกหมดหวังและไม่กล้าลงทุนในตนเอง สิ่งที่เราต้องตอบคำถามคือ เราจะสร้างสังคมแห่งความหวังได้อย่างไร? หากไม่แก้ไขรากฐานที่บิดเบี้ยวมานาน ทั้งปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาการศึกษา และ ปัญหาการผูกขาดของทุนใหญ่ หากปมเหล่านี้ยังไม่ถูกแก้ไข ประเทศไทยจะมีเมืองอัจฉริยะอีกสักกี่เมืองก็คงไม่เพียงพอ