แผ่นดินไหว ใจอย่าไหว ต้องตั้งมั่น

แผ่นดินไหว ใจอย่าไหว ต้องตั้งมั่น

ความรุนแรงของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นสัปดาห์ที่แล้ว โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร สร้างความตื่นตระหนกให้กับคนทั้งประเทศเพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ประสบการณ์ในต่างประเทศชี้ว่า แผ่นดินไหวที่รุนแรงมักส่งผลต่อเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศ จึงประมาทไม่ได้

โดยเฉพาะการตอบสนองของรัฐบาลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะสำคัญต่อการจำกัดความเสียหาย การขยายตัวของเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงทดสอบความเป็นมืออาชีพของสถาบันราชการและความหนักแน่นของสังคมในการเผชิญกับปัญหา นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้

วันที่ 28 มี.ค.เวลาบ่ายโมงยี่สิบ แผ่นดินไหวความรุนแรง 8.2 ริกเตอร์ ปะทุขึ้นใกล้เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา ส่งผลกระทบมาถึงไทย 

ในเมียนมาความเสียหายรุนแรงมาก กระทบหลายเมืองที่อยู่บนแนวรอยเลื่อนของผิวโลก ทําให้บ้านเรือน ตึก วัด สะพาน ถนนเสียหาย ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตกว่า 1,644 คน บาดเจ็บ 3,408 คน ทั่วโลกเฝ้าดูสถานการณ์ในเมียนมาด้วยความห่วงใยและได้ส่งกําลังเข้าช่วยเหลือ

สําหรับไทยแรงกระทบของแผ่นดินไหวสร้างความเสียหายใน 13 จังหวัด รุนแรงสุดที่กรุงเทพ มีตึก 30 ชั้นที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างพังทลายลง ซึ่งเป็นข่าวไปทั่วโลก ล่าสุดจํานวนผู้เสียชีวิตมี 13 คน บาดเจ็บ 10 คน และยังไม่ทราบชะตากรรม 118 คน

แผ่นดินไหวที่รุนแรงลักษณะนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในบ้านเรา ความตกอกตกใจจึงมีไปทั่วเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้น ตามด้วยความชุลมุนวุ่นวาย แต่เมื่อชัดเจนว่าเป็นแผ่นดินไหวและอาฟเตอร์ช็อกดูเบาลง ความสงบและความเป็นระเบียบก็กลับมา

เราเห็นผู้คนในสํานักงาน โรงพยาบาล บริษัทห้างร้าน ต่างปรับตัวตามแผนฉุกเฉินที่เตรียมไว้ ประชาชนช่วยเหลือกัน แชร์ข้อมูลกัน และเมื่อขนส่งสาธารณะระบบรางหยุดให้บริการทำให้รถติดมาก ประชาชนก็อะลุ่มอล่วยต่อกันในการใช้รถใช้ถนน ไม่มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น

แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของสังคมไทยเมื่อมีภัยมา แต่ที่ช้าคือข้อมูลจากหน่วยราชการที่ไม่มีการรายงานสถานการณ์หรือแจ้งเตือนล่วงหน้า จนหลังนายกรัฐมนตรีแถลงข่าวเกือบบ่ายสามโมงที่ข้อมูลภาครัฐเริ่มทยอยออกมา

ชี้ถึงปัญหาการสื่อสารของภาคราชการในยามวิกฤติ ที่ต้องชมเชยคือภาคประชาสังคมหรือองค์กรไม่แสวงหากําไรที่รถกู้ภัย รถพยาบาล วิ่งกันทั่วกรุงตั้งแต่ช่วงบ่าย

ผลกระทบของแผ่นดินไหวจะไม่ใช่แบบวันเดียวจบ จะมีทั้งผลระยะสั้นและระยะยาวของแผ่นดินไหว และผลกระทบต่อเศรษฐกิจก็จะมีทั้งผลทางตรงและทางอ้อม

ผลระยะสั้นของแผ่นดินไหวคือ การเคลื่อนตัวของผิวโลกทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน สิ่งปลูกสร้าง เช่นตึก สะพาน ถนน จะพังทันทีรวมถึงเกิดแผ่นดินถล่ม พื้นดินที่อมน้ำกลายเป็นพื้นที่ดินเหลว ไม่สามารถรับน้ำหนักสิ่งปลูกสร้างบนพื้นที่ได้จนเป็นอันตราย 

ส่วนผลระยะยาว คือความเสี่ยงที่จะมีความผิดปรกติของธรรมชาติหรือความเสียหายในโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ เกิดขึ้นตามมา เช่น เขื่อน ไฟป่า สึนามิ นี่คือสิ่งที่ต้องตระหนักและต้องเฝ้าระวัง

สำหรับผลต่อเศรษฐกิจ ระยะสั้นคือความสูญเสียที่เกิดขึ้นทันทีกับชีวิต ทรัพย์สิน ตึกรามบ้านช่อง โรงงาน และโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกทําลาย ทําให้ธุรกิจถูกดิสรัปไม่สามารถดําเนินการต่อได้ 

ส่วนระยะยาวคือผลที่จะตามมาถ้าเศรษฐกิจไม่สามารถฟื้นตัวจากความเสียหายได้ดีพอหรือใช้เวลานานเกิน นําไปสู่การลดลงของผลิตภาพการผลิต รายได้จากการส่งออกและท่องเที่ยว

ห่วงโซ่การผลิตถูกกระทบทําให้ประเทศคู่ค้าหันไปใช้ประเทศอื่นเป็นฐานการผลิตแทน ต้นทุนการผลิตจะเพิ่มขึ้น เงินเฟ้อสูงขึ้น และรัฐบาลมีภาระต้องใช้เงินแก้ปัญหาทำให้ต้องลดรายจ่ายด้านอื่นลง 

ผลคือการขยายตัวของเศรษฐกิจชะลอ นี่คือเหตุผลว่าทําไมการตอบสนองของรัฐบาลต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวจึงสําคัญ ทั้งต่อการจำกัดความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ความรวดเร็วของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล นี่คือสิ่งที่ต้องยํ้า

คําถามคือเราควรทําอย่างไรจากนี้ไปในแง่นโยบาย ให้เศรษฐกิจก้าวข้ามผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ไปสู่การขยายตัว

ในแง่นโยบายเศรษฐกิจ วิธีคิดเรื่องนี้ไม่ต่างกับกรณีเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แรกสุดต้องทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพเพื่อเป็นฐานให้เศรษฐกิจเติบโต จากนั้นสร้างให้เศรษฐกิจมีโมเมนตัมที่จะเติบโต นี่คือสองขั้นตอนที่ต้องทํา

ขั้นตอนแรก สิ่งที่ต้องทําสําหรับประเทศเราอาจไม่มาก เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นทันทีมีไม่มาก ไม่เหมือนเมียนมาที่ความเสียหายรุนแรงกว่ามาก ของเราที่ต้องทําทันที คือ 

1.เร่งกู้ชีวิตผู้ที่ติดอยู่ในพื้นที่ตึกถล่ม รวมถึงช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ที่เดือดร้อนจากเหตุการณ์เพื่อให้การดําเนินชีวิตสามารถไปต่อได้ 

2.เร่งสํารวจและซ่อมแซมเพื่อเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทั้งในและนอกกรุงเทพ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เป็นปัญหาต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ 

3.จัดการสื่อสารของทางการให้เป็นระบบและทำต่อเนื่องโดยหน่วยงานเดียว เพื่อรายงานสถานการณ์และความคืบหน้าให้ประชาชนและนักลงทุนทราบ เพื่อให้เกิดความมั่นใจ

ขั้นตอนที่สอง คือช่วง 1-6 เดือนข้างหน้า มาตรการรัฐควรมุ่งฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อให้เศรษฐกิจกลับสู่การขยายตัว โดย

1.ให้ความช่วยเหลือทางการเงินและสภาพคล่องกับกลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่ถูกกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว เอสเอ็มอี ประกันภัย ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ด้วยเงินกู้อัตราดอกเบี้ยตํ่า การพักชําระหนี้ชั่วคราว สินเชื่อใหม่เพื่อการลงทุน รวมถึงลดภาษี ทั้งหมดเพื่อช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้ปรับตัวและสามารถไปต่อได้หลังแผ่นดินไหว

2.ทำแคมเปญการท่องเที่ยวเพื่อเรียกคืนความมั่นใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เหมือนแคมเปญ ไทยแลนด์ Back on track ปี 2548 ที่ทําหลังเหตุการณ์สึนามิ ซึ่งใช้เวลากว่าหนึ่งปีกว่าการท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัว

3.ปรับโครงสร้างการใช้จ่ายภาครัฐ จากการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินหรือใช้เงินซื้อหนี้เสียประชาชน มาเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อยกระดับความเข้มแข็งของโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัยและสามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว

สิ่งเหล่านี้จะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนที่จะใช้ไทยในห่วงโซ่การผลิตโลก ซึ่งจะดีต่อการลงทุนและการจ้างงานในประเทศ

ทั้งหมดคือสิ่งที่ควรทําในแง่นโยบายและอยู่ในวิสัยที่ทําได้ ที่ห่วงคือรัฐบาลจะมองข้ามสิ่งเหล่านี้เพราะคิดว่าข่าวหมด เหตุการณ์เงียบลง ทุกอย่างก็จบ ไม่ต้องทำอะไร ซึ่งไม่ใช่ 

ประสบการณ์แผ่นดินไหวในประเทศอื่นชี้ว่า ช่วง 3-6 เดือนหลังเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงจะสําคัญสุด เพราะเศรษฐกิจอาจล่มได้ต่อหน้าต่อตาจากพิษรอบสองของแผ่นดินไหวหรือจากผลกระทบระยะยาวต่อเศรษฐกิจถ้ารัฐบาลไม่ทําอะไร

ตรงกันข้าม ถ้าทําในสิ่งที่ควรทํา รัฐบาลก็จะจํากัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น และใช้แผ่นดินไหวเป็นโอกาสที่จะนําเศรษฐกิจไปสู่การเติบโตที่เข้มแข็ง

นี่คือข้อคิดที่อยากฝากไว้

แผ่นดินไหว ใจอย่าไหว ต้องตั้งมั่น

เศรษฐศาสตร์บัณฑิต 

ดร.บัณฑิต นิจถาวร

ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

bandid.n@ppgg.foundation