“ชัชชาติ” ปชต.สายกลาง แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

“ชัชชาติ” ปชต.สายกลาง แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

ถ้าสังเกตให้ดี “ชัชชาติฟีเวอร์” หรือ กระแสความนิยมที่มีต่อนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. ใหม่หมาด ที่พกเอาคะแนนติดกระเป๋ามาได้ถึง 1.3 ล้านคะแนน อาจไม่ใช่แค่ความหวังของคน กทม.อีกต่อไป

หากแต่นี่คือ “มิติใหม่” ของการเมืองไทย ที่ท้าท้ายอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลง หากแต่ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงอย่างที่กลุ่มหัวรุนแรงสุดโต่งต้องการ

ก่อนหน้านี้ ต้องยอมรับว่า การเมืองไทยตกอยู่ใน “หลุมดำ” ความขัดแย้ง และทางเลือกระหว่าง “ประชาธิปไตย” แบบสุดโต่ง หรือ ที่เรียกว่า “ซ้ายสุดโต่ง” กับ อนุรักษ์นิยมสุดโต่ง หรือ “ขวาสุดโต่ง” บนแนวทางเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองบางพรรค กลุ่มการเมืองบางกลุ่ม และม็อบเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่ชูสัญลักษณ์ 3 นิ้ว เรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจ ซึ่งประกาศกร้าวว่า เป็นทางเดียวที่จะทำให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงเกิดขึ้นได้

ขณะเดียวกัน ทำให้เกิดแรงปะทะอย่างแรงกับกลุ่มปกป้องสถาบันฯ และคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ยังคงจงรักภักดีต่อสถาบันฯ ทั้งยังนำไปสู่การจัดตั้ง “หมู่บ้านเทิดไท้องค์ราชัน” โดยอดีตแกนนำหมู่บ้านเสื้อแดง และพร้อมที่จะประสานความร่วมมือกับพรรคการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นแนวร่วมต่อต้าน และสร้างเครือข่ายปกป้องสถาบันฯ ขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน

จนทำให้เห็นว่า กระแสหลักที่จะนำพาประเทศฝ่ามรสุมวิกฤตทั้งหลาย ก็คือ การเมืองแบบ “สุดโต่ง” ทั้ง “สองขั้ว” ดังกล่าวหรือไม่

กระทั่ง เกิด “ปรากฏการณ์ ชัชชาติ” ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกทม.ด้วยคะแนนเสียงอย่างถล่มทลาย กว่า 1.3 ล้านเสียง ซึ่งมากเป็นประวัติการณ์การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.เลยทีเดียว ทำให้ “อาฟเตอร์ช็อก” ที่ตามมา ถูกมองว่า เป็น “ชัยชนะ” ของ “ฝ่ายประชาธิปไตย” หรือ ฝ่ายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นผู้นำที่มาจากการรัฐประหาร ต่อเนื่องมาจนถึงการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2562 ตาม “รัฐธรรมนูญ 2560” ที่ยกร่างโดยฝ่ายรัฐประหาร

แม้ว่า แท้จริงแล้ว “ชัชชาติ” ลงสมัครผู้ว่าฯกทม.ในนามอิสระ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับพรรคการเมือง ไม่ว่าจะฝ่ายใด เพียงแต่เคยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อปี 2562 เขาเคยถูกเสนอชื่อเป็น 1 ใน 3 รายชื่อผู้เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย

ยิ่งกว่านั้น ท่ามกลางการถูกโจมตีว่า ไม่อิสระจริง เพราะมีความใกล้ชิดพรรคเพื่อไทย หรือ เคยเป็นคนใน “ระบอบทักษิณ” แต่ “ชัชชาติ” ก็เอาตัวรอดมาได้ ด้วยการ “นิ่ง” และรักษาระยะห่างได้เป็นอย่างดี รวมทั้งไม่สนใจตอบโต้ให้ถูกนำไปขยายผลทางการเมือง

ที่น่าสนใจ THE MOMENTUM สัมภาษณ์ รศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เอาไว้หลายประเด็น ถึง “ชัยชนะ” ของ “ชัชชาติ”

ที่สำคัญ ถามว่า ชัยชนะของคุณชัชชาติแบบแลนด์สไลด์เกิดจากอะไร

อาจารย์สิริพรรณ เห็นว่า ก่อนอื่นต้องกล่าวก่อนว่า การแลนด์สไลด์ของคุณชัชชาติที่ได้หนึ่งล้านสามแสนแปดหมื่นคะแนน ส่วนหนึ่งมาจากฐานเสียงของนักการเมือง อีกส่วนหนึ่งเกิดจากความนิยมในตัวบุคคล อย่างไรก็ตามพบว่าคะแนนคุณชัชชาติหลักๆ มาจากแม่น้ำทั้งสามสาย ประกอบไปด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และกลุ่มอนุรักษ์นิยมก้าวหน้า

ส่วนแรก คือประชาชนที่นิยมชมชอบในพรรคเพื่อไทย ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีฐานเสียงในกรุงเทพฯ ประมาณหกถึงแปดแสนคน

ต่อมา คือคนที่ชอบพรรคก้าวไกล จะเห็นว่าคนเลือกคุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร เป็นผู้ว่าฯ แค่สองแสนห้าหมื่นคะแนน ในขณะที่เลือก ส.ก.จากพรรคก้าวไกล ประมาณสี่แสนกว่าคะแนน แสดงว่าคนที่เลือก ส.ก. พรรคก้าวไกล ก็ไม่ได้เลือกคุณวิโรจน์เป็นผู้ว่าฯ กทม.

ส่วนสุดท้าย คือคะแนนที่มาจากกลุ่มอนุรักษนิยม ซึ่งคงนิยามได้ว่า เป็นกลุ่มอนุรักษนิยมก้าวหน้า ที่ไม่ใช่กลุ่มอนุรักษนิยมสุดโต่ง เห็นได้ว่าคนที่เลือกส.ก.ประชาธิปปัตย์ ข้ามมาเลือกคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่คุณสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ประมาณเก้าหมื่นคน เพราะคะแนนคุณสุชัชวีร์ ได้เพียงสองแสนห้าหมื่น แต่คะแนนจาก ส.ก.ได้ถึงสามแสนกว่าคะแนน ซึ่งรวมถึงคะแนนจากกลุ่มพลังประชารัฐและกลุ่มรักษ์กรุงเทพฯ

อีกคำถาม ชัยชนะของ “ชัชชาติ” กำลังบอกอะไรกับสังคม

ตอบว่า คะแนนเหล่านี้กำลังบอกว่า ถ้าผู้สมัครมีคุณสมบัติที่ดี มีประสบการณ์ และมีวุฒิภาวะความเป็นผู้นำเพียงพอ ย่อมสามารถสร้างแนวร่วมทางความคิดที่ก้าวข้ามสีเสื้อทางการเมือง และพรรคการเมืองได้ แต่การจะหาคนที่มีคุณสมบัติที่เหมือนคุณชัชชาติเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ยาก

หากดูคุณสมบัติของคุณชัชชาติ ทั้งครอบครัวและประวัติการเลี้ยงดู มีความเป็นคนในอุดมคติของกลุ่มอนุรักษนิยมสูงมาก ทั้งวิธีคิดและคุณค่าของการให้ความสำคัญกับครอบครัว เช่น ลูกคือศูนย์กลางของจักรวาล ความผูกพันในครอบครัว การแสดงออกถึงความกตัญญู และการศึกษาก็ยังได้รับทุนพระราชทานไปเรียนต่อต่างประเทศ

อาจกล่าวได้ว่า นี่คือ คุณสมบัติที่ซื่อสัตย์ ขยันทำงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่พรั่งพร้อมในอุดมคติของอนุรักษ์นิยม แต่เป็นอนุรักษ์นิยมที่ชูธงประชาธิปไตยมาตลอด และไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร มีจุดยืนที่ต่อต้านอำนาจการรัฐประหารชัดเจน ซึ่งหากประเทศอยู่ในระบบการเมืองที่ไม่บิดเบี้ยว เป็นระบบที่แข่งกันผ่านกระบวนการประชาธิปไตย เช่น การเลือกตั้ง คุณชัชชาติควรจะเป็นแคนดิเดตของกลุ่มอนุรักษ์นิยม

แต่ด้วยที่การเมืองไทยบิดเบี้ยวมาโดยตลอด คุณชัชชาติเลยถูกผลักให้มาเป็นผู้สมัครของฝั่งเสรีนิยม ในขณะที่ฝั่งอนุรักษนิยมเองก็ไม่มีตัวเลือกที่น่าสนใจพอ จึงเป็นเหตุให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมก้าวหน้าของไทยประมาณสามแสนคน ที่อยู่ในกรุงเทพฯ กระโดดข้ามฝั่งมาเลือกคุณชัชชาติทันที

และถามว่า กลุ่มอนุรักษ์นิยมก้าวหน้าคืออะไร และคือใคร

คำตอบคือ ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง การศึกษาและฐานะดี คนกลุ่มนี้มีอุดมคติของประชาธิปไตยแบบตะวันตก แต่เป็นประชาธิปไตยแบบที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ ต้องไม่มีการซื้อเสียง ไม่โกง ไม่คอร์รัปชัน แต่เมื่อนักการเมืองที่เข้ามารับหน้าที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของเขา ก็ยินดีให้โอกาสกับการรัฐประหาร

เขาอาจจะเป็นกลุ่มที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพานโยบายจากนักการเมือง ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ได้ผลประโยชน์จากนักการเมืองในอดีต และมีความคิดที่ค่อนข้างจะยึดโยงกับตัวบุคคลมากกว่า

คนกลุ่มนี้ เคยเป็นฐานเสียงของประชาธิปัตย์ แต่การเลือกตั้งในช่วงปี 2562 พรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดยคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับบอกว่าไม่สนับสนุน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ทำให้คนกลุ่มนี้ย้ายไปเลือกพลังประชารัฐที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ผ่านมาแปดปี พวกเขาเห็นสิ่งที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะเข้ามาบริหารบ้านเมือง ไม่ได้ดีอย่างที่คาดหวัง ทำให้เขาเริ่มคิดใหม่ ตรงนี้ไม่ใช่คำว่า ตาสว่าง แต่เป็นเพียงการคิดถึงผู้นำคนใหม่ที่มีความอนุรักษนิยมในแบบของเขา

แน่นอนว่า เขาต้องการความเปลี่ยนแปลง แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาต้องรู้สึกสบายใจ มั่นคง ปลอดภัย ในจังหวะท่วงทำนองที่นุ่มนวล หากเปลี่ยนเร็วเกินไป คนกลุ่มนี้อาจจะรับไม่ได้ เขามีความกังวลที่จะต้องปรับตัวกับอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขายังยึดโยงอยู่กับขนบธรรมเนียมประเพณี ระบบชนชั้นวรรณะทางสังคม ความมีระบบระเบียบ ความสงบ แต่เชื่อว่า เขาคงเข็ดแล้วจากผู้นำที่มาจากการรัฐประหาร

...

ทั้งนี้ ประวัติบางส่วนที่น่าสนใจ “ชัชชาติ” เป็นบุตรคนสุดท้องของพล.ต.อ.เสน่ห์ สิทธิพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กับจิตต์จรุง (สกุลเดิม: กุลละวณิชย์) บุตรของพล.ต.อ.พิชัย กุลละวณิชย์ อดีตรัฐมนตรี ส่วนพล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ อดีตองคมนตรี และอดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีศักดิ์เป็นอา

มีพี่น้องร่วมบิดามารดาสองคน คือ รศ.ปรีชญา สิทธิพันธุ์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตอาจารย์ประจำหลักสูตรนานาชาติ ด้านการออกแบบและสถาปัตยกรรม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ กรรมการแพทยสภา วาระพ.ศ. 2562–2564 คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

ด้านการศึกษา จบมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากนั้นได้เข้าศึกษาต่อด้านวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนสำเร็จการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง และได้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล ในปี พ.ศ. 2529 เพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโทด้านวิศวกรรมโครงสร้างจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ และระดับปริญญาเอกด้านวิศวกรรมโครงสร้างจากมหาวิทยาลัยอิลลินอย เออร์แบนา-แชมเปญจน์ สหรัฐอเมริกา ภายหลังจบการศึกษาได้กลับมาเป็นอาจารย์ที่ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย...

เห็นได้ชัดว่า ก้าวย่างของ “ชัชชาติ” สู่การเมือง เนื่องจากมีความพร้อมในเรื่องความรู้ความสามารถ และศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น มิได้ฝักใฝ่อุดมการณ์ทางการเมืองอันสุดโต่งแนวทางใดแนวทางหนึ่ง

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือ เกมการเมืองที่พยายามจะชู “ชัชชาติ” เป็น “หุ่นเชิด” ต่อสู้กับ “เผด็จการ” รัฐประหาร ของบางฝ่าย โดย “ตีกิน” กระแสชัยชนะ “ฝ่ายประชาธิปไตย” อ้างความเป็น “เจ้าของ” อย่างออกนอกหน้า

ดังจะเห็นได้จากกระแสข่าวในสังคมออนไลน์ ที่ “ติ่งชัชชาติ” ชวนทะเลาะกับคนที่วิพากษ์วิจารณ์ “ชัชชาติ” หรือ แม้ว่าจะเป็นการเสนอแนะในทางที่สร้างสรรค์ก็ตาม ในทำนอง “ชัชชาติข้า ใครอย่าแตะ” อะไรประมาณนั้น

รวมทั้ง การนำเอา “ผลงาน” ของ “ชัชชาติ” ไปเหน็บแนม เยาะเย้ยฝ่ายตรงข้ามตัวเอง โดยที่ “ชัชชาติ” ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย ซึ่งก็ไม่ต่างจากการใช้เป็น “เครื่องมือ” ทางการเมือง

ยิ่งไปกว่านั้น จากการโพสต์เฟซบุ๊ก ของ รศ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ผู้ลี้ภัยการเมืองในญี่ปุ่น ยังสะท้อนให้เห็นด้วยว่า แม้แต่ขบวนการ “3 นิ้ว” ยังทะเลาะกันเอง เนื่องจากการปกป้อง “ชัชชาติ”

โดย เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ถึงการลงรูป “ชัชชาติ” 

ระบุว่า ...ไม่ได้เขียนด่าอะไรทั้งนั้น ก็ถูกลูกๆ ในตลาดหลวงรุมกระทืบแล้ว ดิชั้นเชียร์ชัชชาติตั้งแต่วันแรกค่ะ เชียร์สุดลิ่มทิ่มประตู วันนี้ก็ยังเชียร์อยู่ แต่หงุดหงิดใจว่าทำไมนักการเมืองแบบใหม่ยังต้องมาอวยอะไรแบบนี้

...ที่น่าสนใจก็คือ คุณชัชชาติตอบคำถามรุ้งเมื่อวันก่อนเรื่อง 112 ว่า มันถูกเอามาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง แต่วันนี้ คุณชัชชาติอวยพรวันเกิดคนที่เอา 112 มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง สังคมมันก็วนลูปแบบนี้ รู้ว่าใครทำผิด แต่ก็ยังต้องยกย่องกันต่อไป แล้วคนที่เป็นแฟนคลับ พอเป็นคนที่เรารัก ก็ยอมสร้างข้อยกเว้นให้ทุกอย่าง ยกเว้นว่า ชัชชาติไม่ควรถูกวิจารณ์ใดๆ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ ฝากให้คิด

ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ นายทักษิณ ชินวัตร ก็ยังโหน “ชัชชาติฟีเวอร์” ตีวัวกระทบคราด พล.อ.ประยุทธ์   

กรณีเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ที่ผ่านมา แฟนเพจเฟซบุ๊ก CARE คิด เคลื่อน ไทย เผยแพร่คำพูดของนายทักษิณ หรือ “โทนี่” อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งปัจจุบันหนีคดีทุจริตอยู่ต่างประเทศ กล่าว ในรายการ CareTalk X Clubhouse หัวข้อ “ราชการไทย” ทำดีก็ได้ ทำไวก็เป็น เมื่อวันอังคารที่ 7 มิถุนายน 2565 เวลา 20.00 น.เป็นต้นไป มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า

“...ถ้าคิดจะเป็นผู้นำแล้วคิดแต่จะขโมยคนของคนอื่น แบบนี้เป็นผู้นำไม่ได้หรอก...”

ถ้าผู้นำดี รู้ปัญหา ไม่มีข้าราชการคนไหนอยู่เฉยหรอก เขารู้ปัญหา เขารู้เรื่องหมดอยู่ที่ว่าเขาจะทำหรือเปล่า จะทำแบบรับเงินทอน หรือจะทำแบบตรงไหนตรงมา

ผู้ว่าฯ ชัชชาติทำงานแบบขยัน และมีภาวะความเป็นผู้นำ มีความโปร่งใส เวลาลงพื้นที่จุดไหนก็ live ไปด้วยทำให้ประชาชนได้เรียนรู้และรู้ปัญหาไปด้วย ส่วนไหนทำได้ ส่วนไหนทำไม่ได้ประชาชนก็จะได้เข้าใจ

เหมือนยุคผมเป็นนายกฯ ผมทำ Workshop ทำงานและถ่ายทอดสดช่อง 11 ตลอดเวลา ทำให้ประชาชนได้เรียนรู้วิธีทำงาน เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ ในบ้านเมือง ไม่ใช่ผู้ว่าไม่ทำงาน...

เพราะฉะนั้นต่อไปเราต้องเปลี่ยนกติกา อะไรที่กฎหมายไม่ได้ห้ามถือว่าประชาชนทำมาหากินได้หมด กฎหมายไม่ควรเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ต้องให้เขาทำมาหากินได้ มีความคิดริเริ่มใหม่ๆ ไม่ใช่รอแต่จะให้ผ่านกฎหมาย ไม่งั้นง่อยกินหมด

แล้วสำคัญภาวะผู้นำของผู้นำต้องดี ถ้าคิดอยากจะเป็นผู้นำแล้วเอาแต่คิดจะขโมยคนของคนอื่น แบบนี้เป็นผู้นำไม่ได้หรอก เอาแต่จะแจกกล้วย

จริงอยู่, แม้ลึกๆแล้ว “ทักษิณ” อยากยกตัวเองข่มพล.อ.ประยุทธ์ โดยอิง “ชัชชาติ” ซึ่งกระแสกำลังมาแรง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ทักษิณ” เอง ก็หวัง “ตีกิน” กระแส “ชัชชาติ” เป็นฝ่ายตัวเองด้วย

ประเด็นที่น่าวิเคราะห์ก็คือ ปรากฏการณ์ “ชัชชาติ” คือชัยชนะของ “ฝ่ายประชาธิปไตย” ก็ไม่ผิด

เพราะ “ชัชชาติ” ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐประหาร และไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร

แต่ขณะเดียวกัน “ชัชชาติ” ยังคงแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันฯไม่เสื่อมคลาย เหมือนคนไทยส่วนใหญ่ ซึ่งการถวายพระพรพระราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมฯที่ผ่านมา เป็นตัวอย่างได้ดี เพราะเห็นได้ชัดว่าไม่ “สุดโต่ง” แบบ “3 นิ้ว”

รวมทั้ง ยังจัดอยู่ในกลุ่ม “อนุรักษ์นิยมก้าวหน้า” ในนิยามของ รศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งส่วนใหญ่คือ ชนชั้นกลางใน กทม. ซึ่งเทคะแนนให้ “ชัชชาติ” นั่นเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้มองเห็น “กลุ่มคนตรงกลาง” ของ “สองขั้ว” ขัดแย้งแบบ “สุดโต่ง” ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจถือเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศอีกด้วย

แน่นอน, “คนตรงกลาง” ไม่ต้องการเอียงไปอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้ง “ซ้ายสุดโต่ง” และ “ขวาสุดโต่ง” ซึ่งไม่มั่นใจว่า จะเป็นผลดีต่อประเทศ รวมถึงการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

แต่ “คนตรงกลาง” ต้องการ “ประชาธิปไตยสายกลาง” ในแบบเดียวกับ “ชัชชาติ” คือ ไม่ต่อต้านสถาบันฯ และไม่เอาเผด็จการรัฐประหาร

จึงน่าจับตามอง หาก “ชัชชาติ” ส่งต่อความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองมีความเชื่อถือ ออกไปอย่างกว้างขวาง และมีกระแสตอบรับ อย่างกระแส “ชัชชาติฟีเวอร์” ที่เป็นอยู่ในเวลานี้

ไม่แน่ การเมืองไทยอาจมีทางออก และก้าวขึ้นจากหล่ม “หลุมดำ” ความขัดแย้ง อย่างเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ โดยมี “ชัชชาติ” เป็น “ศูนย์กลาง” ความเชื่อมั่น ซึ่งทำให้สาวก “3 นิ้ว” ยังหันมา “ซูฮก” และฝ่าย “อนุรักษ์สุดโต่ง” ก็ไม่ได้เสียหายอะไร? 

เว้นเสียแต่ “ชัชชาติฟีเวอร์” คือ ชัยชนะของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็จะยิ่ง “ตอกลิ่ม” ความขัดแย้ง “ดำดิ่ง” ลึกลงไปใน “หลุมดำ” ของปัญหาการเมืองไทย อย่างไม่มีทางออกยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ ก็เป็นได้ ใครจะรู้!?