ไต้หวันกับความมั่นคงของสหรัฐและจีน

ไต้หวันกับความมั่นคงของสหรัฐและจีน

ภูมิศาสตร์การเมืองในเอเชียสัปดาห์นี้ คงไม่มีประเด็นใดที่น่าตื่นเต้นมากกว่ากรณีไต้หวัน ประธานสภาผู้แทนของสหรัฐ Nancy Pelosi พร้อมคณะแวะเยี่ยมไต้หวัน ท่ามกลางความดีใจของชาวไต้หวัน แต่ขณะเดียวกันมีการประท้วงอย่างรุนแรงจากรัฐบาลและชาวจีน

หลังจากที่คณะนักการเมืองอเมริกันเดินทางต่อไปเกาหลีใต้ จีนใช้มาตรการตอบโต้ ด้วยการซ้อมรบ นำยุทโธปกรณ์ทันสมัยและอาวุธจริงแสดงแสนยานุภาพ บริเวณทะเลรอบไต้หวัน และนี่เป็นครั้งแรกที่ปฏิบัติการใกล้ชายฝั่งทางภาคตะวันออกของเกาะฟอร์มูซา จึงดูเหมือนการปิดล้อมตัดขาดไต้หวันจากโลกภายนอก และกดดันเพิ่มเติมโดยระงับการส่งออกและนำเข้าสินค้ายุทธศาสตร์บางอย่าง

กองทัพเรือสหรัฐฯเพิ่มความพร้อม เตรียมช่วยเหลือกองทัพไต้หวัน และออกมาเตือนจีน จึงทำให้บรรยากาศตึงเครียด ถึงขั้นเกรงว่าจะเป็นสงครามในภูมิภาค หรือลามเป็นสงครามโลก

การแถลงเป็นทางการจากฝ่ายอเมริกันนั้น ย้ำเรื่องความสัมพันธ์ของสองประเทศ สนับสนุนและปกป้องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน กฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ สิทธิในการปกครองตนเองของไต้หวัน ฯลฯ ส่วนจีนแสดงความไม่พอใจกล่าวหาว่าสหรัฐเข้ามาก้าวก่ายอธิปไตย เพราะไต้หวันคือส่วนหนึ่งของจีน

วิกฤติไต้หวันครั้งนี้ นับว่าเป็นจุดตกต่ำที่สุดของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีน

ทำไมไต้หวันจึงมีความสำคัญสูง ถึงขั้นที่สองมหาอำนาจต้องมาประเชิญหน้ากัน

คำตอบไม่ได้อยู่ที่ภูมิรัฐศาสตร์ แต่อยู่ที่ความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ สิ่งเดียวที่ทำให้สหรัฐและจีน ทุ่มเทกลยุทธ์ทุกอย่าง พลาดพลั้งไม่ได้นั้นคือ semiconductor

ไต้หวันเป็นที่ตั้งของบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) ผู้ผลิตที่สำคัญที่สุดในโลก มีมาตรฐานสูงแทบเป็นการผูกขาด บริษัทชั้นนำในโลกซื้อ 63% จากไต้หวัน และที่สำคัญคือ 90% ของสินค้าที่มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีและมูลค่าสูง ต้องใช้จากTSMC (เกาหลีใต้ผลิต 18%, จีน 6%, และประเทศอื่นๆ 13%)

APPLE ซึ่งเป็นบริษัทซึ่งมีมูลค่าสูงที่สุดในโลก และเป็นเจ้าของผู้ผลิต iPhone และ MacBook เป็นลูกค้าสำคัญที่สุด เพราะใช้ semiconductor จากบริษัท TSMC เท่านั้น รายได้ของ TSMC 25% มาจาก APPLE นอกจากนั้น QUALCOMM, Nvidia และอีกประมาณ 500 บริษัทในสหรัฐต้องพึ่งพา semiconductor จาก TSMC

สหรัฐปัจจุบันไม่สามารถผลิต semiconductor ขนาด 5nm ได้ หากชิ้นส่วนนี้โดนระงับ เศรษฐกิจของสหรัฐจะหยุดชะงักและพังทันที ความขาดแคลน semiconductor ทำให้กระทบขั้นตอนการผลิตรถยนต์ 13 ล้านคันใน ปีค.ศ. 2021

กระแสการเมืองของสหรัฐเปลี่ยน สหรัฐเริ่มรู้ตัวว่ามีความเสี่ยงสูงเกินไป หากยังต้องพึ่งพา semiconductor จากต่างประเทศ โดยเฉพาะเอเชีย และในกรณีนี้เป็นไต้หวัน ซึ่งหมายถึงล่อแหลมกับจีน

สหรัฐจึงตัดสินใจเร่งด่วน เริ่มทยอยย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศ เริ่มที่ประสานงานกับ TSMC นำเทคโนโลยีพิมพ์เดียวกัน มาทำโรงงานในรัฐอริโซนา โดยลงทุน 12,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะสามารถผลิต semiconductor 5nm ได้ในปี 2024

จีนมีความสามารถในการผลิต semiconductor แต่ไม่สามารถจะทำคุณภาพระดับที่ไต้หวันทำได้ ที่ทำได้เป็นขนาดและสมรรถนะภาพด้อยกว่าไต้หวัน แม้จะมีการเร่งพัฒนาโดยการทุ่มทุนทรัพยากรการเงินและทรัพยากรมนุษย์ทุกอย่าง ก็ยังทำไม่ได้ เพราะความซับซ้อนของขั้นตอนการค้นคว้าวิจัยและผลิต จะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะตามทัน จีนจึงจำเป็นต้องนำเข้า semiconductor คุณภาพสูงจากไต้หวัน

บริษัทสำคัญของจีนเป็นจำนวนมากต้องปิดกิจการในช่วงโควิด สาเหตุหนึ่งคือป้องกันการระบาด แต่การที่โรงงานในไต้หวันต้องปิดกิจการช่วงนั้นเพราะโควิดเช่นกัน ทำให้เกิดความขาดแคลน semiconductor เมื่อไม่มีชิ้นส่วนนี้ โรงงานในจีนก็ทำสินค้าไม่ได้ สินค้าของจีนนอกจากใช้ภายในประเทศ แล้วส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าส่งออก วิกฤติทางเศรษฐกิจภายในจีนเป็นอันตรายต่อความมั่นคง

การมาเยี่ยมของประธาน Pelosi ครั้งนี้จึงเห็นได้ชัดว่าสหรัฐมีเจตนาแฝง นอกเหนือจากคำพูดที่สวยงามเรื่องภูมิรัฐศาสตร์และสิทธิมนุษยชนแล้ว การประชุมกับผู้นำไต้หวัน ซึ่งรวมทั้งผู้นำของบริษัท TSMC นั้น เป็นการให้ความมั่นใจและอุ่นใจ ว่าสหรัฐจะยืนอยู่เคียงข้างปกป้องไต้หวัน ซึ่งเป็นนัยว่าปกป้องอุตสาหกรรม semiconductor นั่นเอง

การแสดงออกของจีนเรื่องภูมิรัฐศาสตร์และการทหารนั้น เป็นการสื่อสารให้กับชาวจีนและพันธมิตรของจีนทั่วโลก ย้ำถึงศักดิ์ศรีและอธิปไตย แม้จีนเองรู้ว่าเจตนาที่แท้จริงของสหรัฐคือการปกป้อง semiconductor ในไต้หวัน แต่จีนเองก็ไม่สามารถจะเผยท่าทีเรื่องนี้ต่อสาธารณะเช่นกัน

ทั้งจีนและสหรัฐอยู่ในภาวะต้องจำยอม เลี่ยงการพูดเรื่องประเด็นที่แท้จริง คือทั้งสองต้องพึ่งพาไต้หวันสองยักษ์ใหญ่กำลังซื้อเวลา หาทางพึ่งตนเองเรื่องนี้ให้ได้

เดือนตุลาคมนี้ประธานาธิบดีจีนเตรียมรับตำแหน่งเป็นครั้งที่สาม เพราะฉะนั้นจะมีสงครามกับไต้หวันหรือสหรัฐไม่ได้

เดือนพฤศจิกายนนี้สหรัฐจะมีการเลือกตั้งกลางเทอม สภาผู้แทนและวุฒิสภาอาจมีการเปลี่ยนเสียงข้างมากซึ่งพรรคเดโมแครตควบคุมอยู่ หากพรรครีพับลิกันได้ที่นั่งเพิ่มอีก 5 ตำแหน่ง ประธานสภาก็จะเปลี่ยนไป หากรีพับลิกันได้ที่นั่งวุฒิสมาชิกเพิ่มอีก 1 ที่ เสียงข้างมากในวุฒิสภาจะเปลี่ยนไป ทำเนียบขาวจะทำงานลำบาก และการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐในปี 2024 จะมีผลกระทบ

ประธานาธิบดี Tsai Ing-wen และรัฐสภาแห่งไต้หวัน ก็จะมีการเลือกตั้งในปีค.ศ. 2024 เช่นกัน พลังสนับสนุนจากสหรัฐต่อไต้หวันครั้งนี้ก็อาจจะมีผลในการเพิ่มคะแนนนิยม

Semiconductor คือเกราะป้องกันไต้หวันในปัจจุบัน อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่ จับตามองการเดินหมากของสหรัฐ จีน และไต้หวัน หลังจากเดือนพฤศจิกายนนี้โดยใกล้ชิดครับ