ตลาดหุ้นอินเดีย หวือหวาแต่ยังน่าสน
แม้จะเป็นหนึ่งในห้าประเทศที่เสี่ยงต่อการเปลี่ยนโหมดนโยบายการเงินของสหรัฐหรือ Fragile Five
โดยมีโอกาสจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและต่อตลาดหุ้นจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ทว่าอินเดีย ในปีนี้ ที่ตลาดหุ้นเติบโตได้สูงที่สุดในเอเชียดังรูปที่ 1 ภายใต้การนำของนายนเรนดรา โมดี นายกรัฐมนตรีท่านใหม่ น่าจะถือได้ว่ามีศักยภาพมากพอที่จะสามารถหลุดพ้นจากความเสี่ยงดังกล่าวไปได้ ด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้
หนึ่ง หากจะพิจารณาศักยภาพของอำนาจซื้อของอินเดีย ให้ดูไปที่การใช้โทรศัพท์มือถือ ที่เติบโตจากเกือบเท่ากับศูนย์ ในปี 2000 ไปสู่มากกว่า 900 ล้านเครื่องในปัจจุบัน หรือ จะเป็น penetration rate ของรถยนต์ คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องปรับอากาศที่ต่ำกว่าร้อยละ 5 ดังรูปที่ 2
จะพบว่าระยะเวลาภายใน 10-20 ปี อินเดียยังมีช่องว่างให้เติบโตและพัฒนาการทางเศรษฐกิจได้อีกมากมาย
สอง เสถียรภาพทางการเมือง พรรค BJP ของนายโมดี สามารถกุมเสียงข้างมากในสภาล่างโดยได้คะแนน 282 เสียง จากที่ต้องการ 272 เสียงเพื่อที่จะมีเสียงเกินครึ่งในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1984 จึงทำให้รัฐบาลนายโมดีมีเสถียรภาพในการบริหารงาน 5 ปีนับจากนี้ได้มากกว่ารัฐบาลชุดก่อนเพื่อผลักดันมาตรการให้เศรษฐกิจมีความเข้มแข็งมากขึ้น
อย่างไรก็ดี สำหรับในสภาสูง พรรคของนายโมดียังไม่สามารถกุมเสียงข้างมากได้ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นจุดที่เป็นอุปสรรคต่อการผลักดันมาตรการทางเศรษฐกิจที่สำคัญๆ อาทิ มาตรภาษีของสินค้าและบริการต่างๆ ยังต้องการเสียงมากกว่าสองในสามในทั้งสองสภาเพื่อผ่านกฎหมายดังกล่าว
สาม มาตรการภาครัฐที่นายโมดีกำลังและเตรียมผลักดันอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่
๐ การกำจัดอุปสรรคที่เกิดจากขั้นตอนทางราชการที่ทำให้การสร้างถนน โรงไฟฟ้า รวมถึงโครงการการลงทุนต่างๆ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัยซึ่งมีต้นทุนต่ำไม่สามารถทำได้
๐ การปรับปรุงโครงสร้างทางภาษีครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นภาษีของสินค้าและบริการต่างๆ หรือการค่อยๆ ลดการอุดหนุนสินค้าและบริการต่างๆ รวมถึงการทำให้การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศสามารถทำได้สะดวกยิ่งขึ้น
๐ การปรับปรุงระบบการตั้งราคา การตลาด และการขนส่งสำหรับสินค้าเกษตรเพื่อให้ตลาดมีความโปร่งใสและเป็นธรรมกับทุกภาคส่วน
๐ การปรับปรุงกฎหมายแรงงานเพื่อทำให้บริษัทในรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนสามารถมีความคล่องตัวในการจ้างแรงงาน รวมถึงเน้นการศึกษาที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน
๐ การส่งเสริมให้สถาบันการเงินมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้นด้วยการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในส่วนนี้ได้มากขึ้นและลดสัดส่วนการถือหุ้นของรัฐบาลในสถาบันการเงินหลายๆ แห่งในอินเดีย
ล้วนเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นอินเดีย อย่างไรก็ดี ในช่วง 4 เดือนแรกภายใต้การบริหารของนายโมดี จะพบว่าการปฏิรูปทางเศรษฐกิจจะงดเว้นการแตะในเรื่องที่เสี่ยงต่อการสั่นคลอนฐานเสียงของตนเอง อาทิ ค่าตั๋วรถไฟและการสนับสนุนราคาอ้อย
ท้ายสุด ในมิติทางเศรษฐกิจ อินเดียก็มีลูกศร 3 ดอกคล้ายกับญี่ปุ่นเช่นกัน
เริ่มจากสถานการณ์ทางการคลังที่ดูดีขึ้นเรื่อยๆ จากที่ขาดดุลภาครัฐอยู่ร้อยละ 2.5 ต่อจีดีพีในปีที่ผ่านมา และจะลดลงเหลือร้อยละ 2 ต่อจีดีพีในสิ้นปีนี้จากการตัดลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดและยกเลิกการสนับสนุนความช่วยเหลือหรือ subsidy ด้านพลังงานของภาครัฐภายในตุลาคมนี้ นอกจากนี้ อัตราส่วนหนี้ต่อจีดีพีของอินเดียยังลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการปรับปรุงระเบียบและความโปร่งใสในการจัดเก็บภาษีและรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
สอง การใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดและการปฏิรูปภาคการเงิน ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าร้อยละ 10 เมื่อต้นปีนี้ จนลงมาเหลือเพียงร้อยละ 8 กว่าๆ ในตอนนี้ ในขณะที่เสริมสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินที่ไม่แข็งแรง สำหรับภาคสถาบันการเงิน ธนาคารกลางอินเดียได้สนับสนุนผ่านกฎเกณฑ์การดำรงสินทรัพย์เสี่ยงที่ผ่อนคลายลงสำหรับการให้สินเชื่อประเภทโครงการระยะยาว รวมถึงสนับสนุนให้ประชาชนชาวอินเดีย 1.2 พันล้านคน ให้กว่า 2 ใน 3 ของทั้งหมดมีบัญชีเงินฝากเป็นของตนเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงชาวอินเดีย
สาม สำหรับภาคต่างประเทศ หลังจากที่นายโมดีเข้ารับตำแหน่ง เงินทุนไหลเข้าก็หลั่งไหลเข้าอินเดีย โดยเงินที่ไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียจากต่างประเทศคิดเป็นเกือบ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์นับจากต้นปี ที่สำคัญ ปริมาณเงินสำรองเงินตราระหว่างประเทศของอินเดียกำลังแตะ 3 แสนล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก ดังรูปที่ 3
สำหรับดัชนีหุ้นอินเดีย BSE Sensex ซึ่งประกอบด้วยหุ้นชั้นนำ 30 ตัวของตลาดหุ้นอินเดีย จะอยู่ที่ระดับใดใน 1-2 ปีข้างหน้า สามารถประเมินได้ โดย ณ ปัจจุบัน ดัชนีหุ้นอินเดีย BSE Sensex อยู่ที่ประมาณ 27,000 จุด ตรงนี้ ผมให้เป็นกรณีฐาน ในปี 2014 Forward P/E ระยะเวลา 1 ปีของตลาดหุ้นอินเดีย อยู่ที่ 15.5 เท่า และ Forward P/E ในปี 2015 และ 2016 อยู่ที่ 16 และ 16.5 เท่าตามลำดับ และอัตราการเติบโตเฉลี่ยของกำไรสุทธิสำหรับบรรดาบริษัทใน BSE Sensex ในปีนี้เท่ากับร้อยละ 18 และให้ปี 2015 และ 2016 เติบโตด้วยอัตราดังกล่าว ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ดัชนีหุ้นอินเดียในกรณีนี้ จะขึ้นเป็น 30,129 และ 32,600 จุด ในปี 2015 และ 2016 ตามลำดับ คิดเป็นผลตอบแทนโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 10 ต่อปี ทว่าหากนายโมดีไม่สามารถผลักดันมาตรการต่างๆ ข้างต้นออกมาได้ จากการวิเคราะห์ของผู้เขียนพบว่า ตลาดหุ้นอินเดียก็ไม่ร่วงลงแรงมาก เพียงแต่ว่าตลาดจะทรงๆ อยู่หรือลดลงไม่มากนักจากในระดับปัจจุบัน
โดยสรุป ผมเห็นว่า ตลาดหุ้นอินเดียยังน่าสนใจอยู่ไม่น้อยในระยะเวลาการลงทุน 6-9 เดือนข้างหน้าครับ
หมายเหตุ : หนังสือด้านการลงทุนด้วยข้อมูลเชิงมหภาคเล่มล่าสุดของผู้เขียน “เล่นหุ้นต้องใช้ใจ... รวยได้ไม่รู้จบ” วางจำหน่ายทั่วประเทศแล้ว และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประเด็นการลงทุน ได้ที่ www.facebook.com/MacroView และ LINE ID: MacroView ครับ