คิดต่างชอบต่างก็อยู่กันได้

คิดต่างชอบต่างก็อยู่กันได้

เหลือแค่ไม่กี่แห่งในโลกวันนี้ที่มีแต่คนที่คิดเหมือนกัน ชอบเหมือนกัน โลกวันนี้เต็ม

ไปด้วยความแตกต่าง ซึ่งถ้าเป็นวันก่อน ความแตกต่างเหล่านั้นเป็นภัยคุกคามความสำเร็จของชีวิต และการงาน แต่วันนี้ความแตกต่างกลับกลายเป็นความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ ความคิดความชอบใหม่ ๆหลายอย่าง ที่มาจากความชอบความคิดที่ไม่เหมือนกัน ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมากมายหลายอย่าง

แต่ในขณะเดียวกัน ความคิดความชอบที่แตกต่างกันก็สร้างปัญหาใหญ่โตหลายเรื่องเช่นเดียวกัน การคิดต่างชอบต่างที่นำไปสู่ประโยชน์ใหม่ๆจึงต้องเป็นความคิดความชอบที่เกิดขึ้นจากความเชื่อพื้นฐานบางอย่างที่เหมือนกันในบรรดาผู้คนที่คิดที่ชอบไม่เหมือนกัน ความเชื่อพื้นฐานที่เหมือนกันเพียงไม่กี่เรื่องนี่แหละที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้การคิดต่างชอบต่างทำให้เกิดบางอย่างที่เป็นประโยชน์กับทุกคนได้ ขอแค่ยอมเชื่อสักสามสี่เรื่องเหมือน ๆกัน ก็อยู่ด้วยกันอย่างต่างคนต่างเจริญ ต่างคนต่างก้าวหน้าไปในทางที่ตนคิดตนชอบได้

แทบทุกองค์กรจึงพยายามหาความเชื่อพื้นฐานที่เหมือนกัน เพื่อนำมาให้ทุกคนที่คิดต่างชอบต่างใช้ในการกำหนดการกระทำของตนที่มีผลต่อคนอื่น กำหนดว่าอะไรทำได้เลย อะไรอาจจะทำได้หากมีการบอกกล่าวกันก่อน อะไรไม่ควรทำเด็ดขาด แต่พบว่าหลายแห่งแค่เปิดตำราแล้วคัดลอกข้อความที่ดูดีมาปิดประกาศให้บุคลากรให้เห็นได้อ่าน โดยหวังว่าจะทำให้การทำงานดีขึ้น ประสานความแตกต่างกันได้ดีขึ้น แต่หลายแห่งเป็นแค่ท่องได้ เชื่อหรือไม่ก็ไม่รู้ การค้นหาความเชื่อพื้นฐานในหมู่ผู้คนที่ต้องอยู่ ต้องทำงานด้วยกันนั้น จึงต้องสะท้อนมาจากสิ่งที่เห็นได้จริงจากการทำการงานในหมู่คนกลุ่มนั้นด้วย เพียงแต่ต้องคัดกรองเอาเฉพาะความเชื่อที่สามารถนำไปสู่การสร้างประโยชน์ใหม่ๆ ให้กับองค์กร เลือกเฉพาะที่เชื่อแล้วดีขึ้น คนทั้งองค์กรมีพฤติกรรมที่เชื่อในคุณภาพ พร้อมๆ กับที่เชื่อในหลักการว่าไม่เป็นไรมาก่อน ทำแล้วคุณภาพลดนิดลดหน่อยก็ไม่เป็นไร ถ้าส่งเสริมให้ยังเชื่อทั้งสองอย่างนี้ควบคู่กันต่อไปสักพัก ความเชื่อในหลักการไม่เป็นไรมาก่อนจะคงอยู่ แต่ความเชื่อเรื่องคุณภาพจะหายไป สุดท้ายทุกคนก็ไม่ทำอะไรให้มีคุณภาพ แล้วต่างแก้ตัวว่าใครๆ เขาก็ทำแบบนี้

ตัวอย่างหนึ่งความเชื่อพื้นฐานที่นำไปสู่การคิดต่างชอบต่างก็อยู่กันได้ และอยู่กันแบบต่างคนต่างได้ประโยชน์ ได้มาจากกระทรวงการศึกษาของสิงค์โปร์ ที่ชื่อกระทรวงบอกว่าพยายามช่วยคิดช่วยทำด้านการศึกษา ชื่อไม่ได้ว่าเป็นใหญ่เป็นโตในวงการศึกษา โดยบอกว่าให้เชื่อในการเคารพตนเองและเคารพคนอื่น ซึ่งไม่ได้แปลว่าเจอใครต่อใครต้องยกมือไหว้กันและกัน แต่หมายถึงเคารพความเป็นตัวตนของตนเอง พร้อมๆ กับที่ต้องเคารพความเป็นตัวตนของผู้อื่นควบคู่กันไปด้วย แค่เชื่อเรื่องนี้เหมือนกัน การดูหมิ่นดูแคลนความสามารถของคนที่ทำงานด้วยกันก็ไม่เกิดขึ้นแล้ว พร้อมกับที่ไม่มีใครรู้สึกว่าตนเองด้อยค่าด้อยราคา เมื่อไม่มีใครรู้สึกว่าตนเอง หรือใครคนหนึ่งคนใดต่ำต้อยไปกว่าคนอื่น ต่างคนต่างมองความคิดที่แตกต่าง ความชอบที่แตกต่างด้วยความเคารพกันและกัน การทะเลาะกันจากการชอบที่แตกต่างย่อมไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ นัก

ชอบต่างคิดต่างจะถูกจำกัดขอบเขตไม่สุดโด่งตามที่ตนอยากได้อยากให้เป็น ด้วยความเชื่อที่เหมือนกันในเรื่องจริยธรรม และความรับผิดชอบ จะคิดจะชอบไปไกลแค่ไหน ก็ยังอยู่บนหลักจริยธรรม กฎหมายไม่ห้ามให้คิดให้ชอบทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ แต่จริยธรรมบอกว่าไม่ควร ขอบเขตความคิดความชอบที่แตกต่างก็จำกัดได้แค่เท่าที่จริยธรรมยอมรับได้ ในขณะเดียวกันก็เชื่อในความรับผิดชอบของตนเอง ว่าถ้าความชอบของฉันส่งผลอะไรขึ้นมาที่ทำให้อะไรเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ต้องเชื่อว่าเราต้องรับผิดชอบ ชอบกินทุเรียน ก็ต้องรับผิดชอบดูแลกลิ่นไม่ให้ไปรบกวนคนอื่นที่ไม่ชอบทุเรียน

ถ้าเชื่อว่าดนตรีที่ฟังแล้วไพเราะมาจากเสียงเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด คิดต่างชอบต่างยังอยู่กันได้ แต่ถ้าเชื่อว่าต้องดนตรีแบบโซโลเดี่ยวชิ้นเดียวเท่านั้นถึงจะไพเราะน่าฟัง อย่างนี้คงต้องทำงานแบบศิลปินเดี่ยว แล้วเลิกคิดที่จะทำงานกับคนอื่นใดอีกต่อไป แต่ทำไปแบบที่คิดที่ชอบอยู่คนเดียวนั้นแน่ใจแล้วนะว่าจะไปรอด