ปฏิรูปเพิ่งเริ่มต้น ระบบสวัสดิการรัฐ
รัฐบาลเตรียมแจกบัตรรับสวัสดิการแห่งรัฐ ให้กับผู้มีรายได้น้อยกว่า 14 ล้านรายทั่วประเทศ
โดยตั้งเป้าหมายว่าจะทันการขอรับสวัสดิการจากรัฐให้ทันต้นปีงบประมาณ 2561 คือ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2560 เป็นต้นไป ซึ่งประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ถือเป็นผู้มีรายได้น้อยตามการนิยามของรัฐบาลที่ประกาศออกไปก่อนหน้านั้น ส่วนใครจะได้รับสวัสดิการประเภทใดนั้นยังต้องรอการตรวจสอบคุณสมบัติและประกาศอีกครั้งว่าคุณสมบัติขัดกับหลักเกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนดหรือไม่
ความพยายามในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ถือเป็นนโยบายที่มีมานานแทบทุกรัฐบาล ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยมีผู้มีรายได้น้อยจำนวนมากและจำเป็นต้องได้รับการดูแล แต่ดูเหมือนว่ายิ่งประเทศมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งมีการใช้งบประมาณมากขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกับมาตรการช่วยเหลือในด้านต่างๆของรัฐบาลก็เพิ่มขึ้น ตั้งแต่เรื่องการลดค่าครองชีพไปจนถึงการแจกจ่ายให้โดยตรงถึงมือผู้ที่ต้องการรับความช่วยเหลือโดยตรง
การแจกบัตรเพื่อขอรับสวัสดิการในครั้งนี้ถือเป็นความพยายามอีกครั้ง ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลังจากมีความพยายามหาช่องทางการจัดระเบียบเรื่องนี้มานาน จนกระทั่งมีการนำเทคโนโลยีด้านการสื่อสารมาช่วย ทำให้มีการจัดระบบข้อมูลดีขึ้น จนนำไปสู่การแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในครั้งนี้ ซึ่งอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ผู้ที่จัดว่าเป็นผู้มีรายได้น้อยจะได้ใช้สิทธิต่างๆของตนในการเข้าถึงสวัสดิการที่รัฐจัดหาให้
แน่นอนว่าข้อดีของการจัดระเบียบใหม่ในครั้งนี้ จะทำให้รัฐบาลสามารถรับรู้อย่างแท้จริง ว่างบประมาณในแต่ละปีเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยนั้นมีจำนวนเท่าไร และในแต่ละปีก็สามารถตรวจสอบได้ว่าจะใช้งบประมาณในส่วนนี้มากน้อยแค่ไหน โดยรัฐบาลหวังว่าความช่วยเหลือให้กับผู้มีรายได้น้อยนั้นจะเป็นการช่วยเหลือตรงจุด กล่าวคือกลุ่มเป้าหมายจะได้รับความช่วยเหลือโดยตรง จากเดิมที่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่ามีจำนวนเท่าไร
การเปลี่ยนแปลงวิธีการในครั้งนี้ถือว่าน่าติดตามอย่างมากว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ซึ่งในหลักการแล้ว นโยบายนี้ต้องการยกเลิกแนวความคิดแบบประชานิยมที่เคยใช้มาก่อนหน้านั้น อาทิ รถเมล์-รถไฟฟรี อาจมีผู้ที่ไม่เข้าข่ายเป็นผู้มีรายได้น้อยใช้บริการ จนทำให้มาตรการของรัฐบาลไม่บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ และเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณที่มากเกินความจำเป็น แต่สิ่งที่จำเป็นต้องดำเนินการหลังจากนี้คือการประเมินผลจากวิธีการจัดระเบียบในครั้งนี้
หากผลการประเมินว่าวิธีการจัดระเบียบในครั้งนี้บรรลุเป้าหมาย คือ ความช่วยเหลือจากรัฐบาลสามารถส่งตรงให้กับผู้มีรายได้น้อยโดยตรง ก็จะถือว่าเป็นวิธีการที่ได้ผลและอาจจำเป็นต้องขยายผลต่อไปในเรื่องการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนกลุ่มนี้ ซึ่งจำนวนกว่า 14 ล้านคนถือว่าไม่น้อยเมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศราว 70 ล้านคน ซึ่งหากวิธีการนี้ประสบความสำเร็จก็ควรมีการนำข้อมูลที่ได้ในครั้งนี้ไปดำเนินนโยบายอื่นๆต่อไป
หากพิจารณาตั้งแต่เริ่มต้นจะเห็นว่าโครงการนี้เริ่มจากจุดอ่อนของนโยบายรัฐบาลก่อนหน้านั้น กล่าวคือไม่มีข้อมูลอย่างถูกต้องครบถ้วนและการแจกจ่ายสวัสดิการแห่งรัฐไม่เป็นไปอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะบางนโยบายก็อิงกับฐานการเมืองของรัฐบาลเอง เราเห็นว่าหากนโยบายลักษณะนี้เดินหน้าต่อไปและปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้นจะถือว่าเป็นการปฏิรูปครั้งสำคัญของการแจกจ่ายสวัสดิการรัฐ ทำให้ภาครัฐประหยัดงบประมาณและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง