สร้างโรงเรียนแห่งอนาคต ในชนบทประเทศไทย
เป็นที่เชื่อกันว่าโรงเรียนในเมืองใหญ่มักมีคุณภาพดีกว่าโรงเรียนในชนบทที่ห่างไกล และเมื่อพูดถึงโรงเรียนต้นแบบ คนส่วนใหญ่จะคิดถึงโรงเรียนชั้นนำ
ที่มีการแข่งขันสูงในกรุงเทพ หรือโรงเรียนทางเลือกที่เก็บค่าเล่าเรียนแพงๆ ตามหัวเมืองต่างๆ แต่ในความเป็นจริง ประเทศไทยมีโรงเรียนจำนวนไม่น้อยที่ริเริ่มจัดการเรียนรู้เพื่อสร้างทักษะในศตวรรษที่ 21 ให้แก่เด็กนักเรียนในชนบท
ผู้เขียนเชื่อว่า มีบทเรียนมากมายในโรงเรียนเหล่านี้ที่สามารถช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนอื่นๆ ในประเทศไทยได้ เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสไปศึกษาถอดบทเรียนในโรงเรียนบ้านปลาดาว ที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ โรงเรียนแห่งนี้เป็นหนึ่งในโรงเรียนกระบวนทัศน์ใหม่ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า การเรียนการสอนที่พัฒนาให้เด็กพร้อมรับโลกอนาคต สามารถเกิดขึ้นได้จริงแม้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล
โรงเรียนบ้านปลาดาว อยู่ในการดูแลของมูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮม ที่ต้องการช่วยเหลือเยาวชนชายขอบอย่างรอบด้าน เช่น ให้ที่พึ่งพิงแก่เด็กชาวเขา เด็กที่ถูกทอดทิ้ง ในด้านการศึกษา มูลนิธิทำงานผ่านโรงเรียนโดยการจัดการเรียนการสอนให้แก่เด็กในพื้นที่ใกล้เคียงโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เกณฑ์การคัดเลือกนักเรียนที่นี่แตกต่างจากเกณฑ์ของโรงเรียนทั่วไป กล่าวคือ นักเรียนที่จะได้เข้าเรียนต้องมีฐานะยากจน ขาดคนดูแล เช่น ผู้ปกครองถูกจำโทษ หรือป่วยเรื้อรัง นอกจากนี้ นักเรียนส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่
หากดูจากทุนตั้งต้นทางสังคมของเด็กแล้ว การจัดการเรียนการสอนของที่นี่คงมีความท้าทายอย่างยิ่ง แต่เมื่อผู้เขียนได้เข้าชมห้องเรียนแต่ละระดับชั้น กลับเห็นบรรยากาศการเรียนและความสามารถของนักเรียนที่แตกต่างจากหลายโรงเรียน เพราะนักเรียนที่นี่มีความกระตือรือร้น สนุกกับการแก้โจทย์ท้าทายที่เกินวัยของพวกเขา
นักเรียนชั้นอนุบาล 3 ทุกคนร่วมกันตอบคำถามคุณครู ชวนกันบวกเลขที่มีการทดในใจอย่างสนุกสนาน พวกเขาสามารถสื่อสารภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งที่ตอนแรกเข้า นักเรียนจำนวนหนึ่งมีพัฒนาการช้าและพูดภาษาไทยไม่ได้เลย
ในห้องเรียนชั้น ป.3 นักเรียนจับคู่กันทำการค้นคว้าข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ทำงานนำเสนอด้วย PowerPoint โครงงานเพื่อแก้ปัญหาตามความสนใจของแต่ละกลุ่ม โดยมีคุณครูคอยช่วยอยู่ห่างๆ
บริเวณนอกห้องเรียน ผู้เขียนเห็นเด็กๆ ชั้น ป.2 กำลังนำเสนอบทสรุปของในโครงการตัวเอง อยู่หน้าฉากสีเขียวของสตูดิโอที่โรงเรียนจัดทำไว้แบบง่ายๆ โดยมีเพื่อนเป็นช่างกล้องช่วยถ่ายทำและตัดต่อคลิปวิดิโอด้วยแท็บเล็ต เพื่อส่งเป็นชิ้นงาน
ทั้งหมดนี้เป็นภาพของโรงเรียนแห่งอนาคตที่นักเรียนเป็นเจ้าของการเรียนรู้ ใช้ทักษะ เครื่องมือ และเทคโนโลยีในการแก้ปัญหาอย่างคล่องแคล่ว สามารถสื่อสารและทำงานเป็นทีมได้ตั้งแต่เล็กๆ ซึ่งเป็นภาพที่ยากจะพบเจอแม้ในโรงเรียนใหญ่ในเมือง
ความแตกต่างนี้เกิดจากกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่แตกต่างจากโรงเรียนกระแสหลัก ดังต่อไปนี้
หนึ่ง คือการยกระดับพื้นฐานของเด็กอนุบาลให้เท่าทันกัน แก้ปัญหาทุนตั้งต้นที่แต่ละครอบครัวให้มาไม่เท่ากัน มีการออกแบบสื่อหนังสือเรียนขึ้นใหม่เพื่อช่วยเพิ่มทักษะภาษาไทย ภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ เพื่อให้เหมาะกับเด็กที่ขาดพื้นฐานภาษาไทยโดยเฉพาะ
สอง คือ การจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ 2 รูปแบบ ได้แก่ (1) การเรียนแบบ Problem-Based Learning (PBL) ซึ่งให้เด็กเลือกปัญหาที่สนใจและอยู่ใกล้ตัว คุณครูเป็นผู้แนะนำขั้นตอนต่างๆ จัดสรรเครื่องมือในการสืบค้นให้นักเรียน แต่ให้นักเรียนเป็นผู้ลงมือทำเอง และ (2) กิจกรรม Makerspace ที่นักเรียนจะได้ฝึกทักษะการออกแบบ การวางแผน และการลงมือทำในรูปแบบต่างๆ เช่น การออกแบบเสื้อผ้า การทำอาหาร การสร้างสิ่งประดิษฐ์ด้วยเครื่องมือช่างง่ายๆ โดยมีครูเป็น “โค้ช” จัดกระบวนการ STEAM Design Process
อย่างไรก็ตาม การจัดการศึกษารูปแบบนี้จะสำเร็จได้ ปัจจัยหนึ่ง คือ โรงเรียนต้องมีอิสระในการบริหารจัดการ เนื่องจากโรงเรียนบ้านปลาดาวเป็นโรงเรียนเอกชนไม่แสวงหากำไร จึงมีอิสระทั้งทางด้านวิชาการ บุคลากร และงบประมาณ ซึ่งทำให้โรงเรียนหลุดพ้นจากกฎระเบียบ โครงการ การประเมิน และงานธุรการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานักเรียนที่โรงเรียนส่วนใหญ่เผชิญอยู่ในปัจจุบัน
อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่า คือ แนวคิดของผู้ก่อตั้งโรงเรียน ผู้อำนวยการและครูที่มีเป้าหมายในการทำงานเพื่อยกระดับเด็กทุกคน แทนการเฟ้นหา “ช้างเผือก” เพียงไม่กี่คน ความเชื่อว่าเด็กทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ ทำให้ครูตั้งมาตรฐานที่สูงสำหรับนักเรียนทุกคน เชื่อว่าเด็กทุกคนจะสามารถเข้าใจเนื้อหาที่เรียนได้หากครูมีวิธีการที่ดีพอ ที่สำคัญ ผู้สอนจะต้องมีสปิริตของการค้นคว้าพัฒนาอยู่ตลอด เมื่อการสอนรูปแบบเดิมไม่ตอบโจทย์หรือยังไม่ได้ผลตามเป้าหมายที่วางไว้ ก็มีการคิดค้นทดลองการเรียนแบบใหม่ๆ จนได้รูปแบบที่ได้ผล
โรงเรียนบ้านปลาดาวเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการปฏิรูปการเรียนรู้ที่ส่งผลถึงผู้เรียน และสร้างความเท่าเทียมทางโอกาสให้เด็กในพื้นที่ห่างไกล ยังมีรูปแบบโรงเรียน เช่นนี้ในอีกหลายพื้นที่ของประเทศไทยที่รอการถอดบทเรียน และหากมีการนำบทเรียนเหล่านี้ไปขยายผล โรงเรียนเล็กๆ ในชนบทเหล่านี้ อาจกลายเป็นหัวหอกนำการเปลี่ยนแปลงสู่โรงเรียนใหญ่ๆ ในเมือง เพื่อเตรียมความพร้อมให้เด็กไทยมุ่งสู่อนาคตได้ ไม่ว่าเขาจะเกิดในพื้นที่ใดก็ตาม
โดย... ณิชา พิทยาพงศกร