วิถีแห่งสังคมที่น่าศึกษา !!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา กลับมาจากงานประวัติศาสตร์ของชาวพุทธในอินเดีย เนื่องในการสมาทานอุโบสถศีลร่วมกันเป็นครั้งแรก ระหว่าง 5-7 กรกฎาคม 2562 ณ นครปูเน่ รัฐมหาราษฎร์ ให้รู้สึกน่ายินดีอย่างยิ่ง ที่บัดนี้ ชาวอินเดียได้รับเอาจิตวิญญาณ วัฒนธรรมประเพณีของความเป็นพุทธศาสนิกชนกลับคืนไป เพื่อการคืนกลับสู่ความเป็นชาวพุทธที่อุดมสมบูรณ์ด้วยศีลธรรม ในขณะที่ สังคมพุทธศาสนาในบ้านเรา เริ่มห่างไกลศีลธรรม จนเด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักการสมาทานอุโบสถศีล (ศีลแปด) ดังในอดีตที่บรรพชนเคยถือปฏิบัติกันมา
มีโอกาสสนทนากับอุบาสิกาท่านหนึ่ง ที่กล่าวไว้อย่างน่าสนใจในพฤติจิตของคนในสังคมปัจจุบันที่กำลังมึนเมากับกระแสเทคโนโลยี การศึกษาที่ห่างไกลศีลธรรม จนก่อเกิดการดำริที่ไม่เหมาะควร โดยได้กล่าวพอสรุปได้ดังนี้
“เรื่องของคนรุ่นใหม่ในสมัยนี้ มักจะเต็มไปด้วยการจินตนาการ ที่สังคมใช้คำว่า “มโนกันไป” อย่างขาดการวิเคราะห์แยกแยะในเรื่องราวนั้นๆ ที่สำคัญคือ การไม่รู้จัก วิธีคิด อันถูกต้อง จนนำไปสู่โรคคิดไม่เป็น แยกแยะไม่ออก ว่า อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล แม้ในสภาวธรรมเรื่องราวทั่วไป
ความคิดหรือทิฏฐิของหมู่ชน ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ไม่ว่าจะเป็นแนวลัทธิประชาธิปไตย หรือ ลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นไปตามความเชื่อทางการเมืองในสังคมนั้นๆ ของสมาชิกในสังคม ว่าควรใช้ระบอบใด เพื่อการพัฒนาสังคมของตนไปสู่ประโยชน์และความเหมาะควร
ดังเช่น คนในสังคมไทย ที่ควรรู้ซึ้งถึงซึ่งระบอบอันเหมาะควรกับสภาพสังคมไทย โดยรู้จักการคิดพิจารณาให้เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงของความเป็น ชาติไทย ที่ย่อมผิดแผกแตกต่างออกไปจากสังคมประเทศต่างๆ จึง ควรรู้จักคุณลักษณะของความเป็นชาติไทยที่แท้จริง
การที่คนรุ่นใหม่ ที่ไปร่ำเรียนวิชาความรู้ถึงเมืองนอก โดยเฉพาะจากยุโรปหรืออเมริกา จนก่อเกิดแนวความคิดเชิง ปฏิวัติสังคม ด้วยการเสนอความรู้มาอย่างขาดสติปัญญา จึงเป็นเรื่องที่น่าขำ และน่ากลัว ต่อการก่อเกิด ทิฏฐิ (ความเห็น) ไปในลักษณะผิดธรรมชาติ ขัดแย้งกับความเป็นจริงที่อ้างว่าทันสมัย ดังที่พูดว่า “น่าขำ” คือ แท้จริงเป็นการเสนอข้อมูลประวัติศาสตร์ทางการเมืองสังคมที่ผ่านมาหลายชั่วทศวรรษ ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลใหม่อะไรเลย เป็นความรู้เชิงประวัติศาสตร์ในสังคมประเทศนั้นๆ ที่ไม่ได้มีลักษณะเดียวกับสภาพสังคม การเมือง การปกครอง ของบ้านเราและจิตวิญญาณของชาวไทยเรา ดังการนำเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ฝรั่งเศส มาสวมเรื่องใส่อารมณ์ เพื่อปรุงแต่งให้เป็นเรื่องประชาธิปไตยแบบไทยๆ ในบ้านเรา ... เพื่อชวนเชื่อชี้นำไปสู่การปฏิวัติสังคม โดยมีเป้าหมายเพื่อการทำลายสถาบันหลักของประเทศชาติ ที่ควบคู่กับความเป็นชาติไทยมายาวนาน ด้วยการชี้ให้เห็นความเป็นสังคม วรรณะ ศักดินา วัฒนธรรม ประเพณี ในระบอบสังคมไทยที่สวยงาม สร้างสรรค์ มายาวนานของสังคมไทย ว่า นี่คือจุดปัญหาแท้จริงของสังคม ที่ขวางกั้นต่อการพัฒนาไปสู่ความเจริญตามแนวทางของนานาประเทศ
จึงมีการพยายามจับกลุ่มรวมตัวก่อตั้งพวกมีแนวคิดไปในเชิงปฏิวัติสังคมขึ้น จนเกิดกรณีคณะราษฎร์ พ.ศ. ๒๔๗๕ ขึ้น และแม้ว่าประเทศชาติจะเปลี่ยนผ่านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็น ระบอบประชาธิปไตย (แบบไทยๆ) แต่กระแสดังกล่าวก็ยังคงมีการจุดต่อไปจนเข้าสู่ยุคสงครามเย็น ซึ่งประเทศเราก็ได้รับผลกระทบเต็มๆ ในสมัยที่ผ่านมา เมื่อมีการพยายามนำลัทธิคอมมิวนิสต์แบบเหมาฯ เข้ามาสู่ประชาชนในประเทศ โดยมีการนำเงื่อนไขเรื่องชนชั้น วรรณะ ที่เป็นไปในวิถีสังคมวัฒนธรรมแบบไทยๆ มาเป็นตัวจุดประกายการขับเคลื่อนอีกเช่นเดียวกัน
จนเข้าสู่สมัยปัจจุบันที่สังคมไทยเผชิญผลพิษทางการเมือง สังคม ก่อเกิดการปฏิวัติ การปฏิรูปการเมือง สังคม มากครั้ง เพื่อนำประเทศชาติไปสู่จุดหมายตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อันเป็นความสวยงามในอารยธรรมของสังคมไทยวิถีพุทธ แต่ด้วยความอ่อนแอทางจิตวิญญาณของกลุ่มคนในยุคสมัย จึงนำมาสู่จุดอ่อนเปราะบางต่อการพัฒนาประเทศ จนเกิดเป็นเงื่อนไขให้นำไปสู่การคิดก่อการปฏิวัติทางสังคมที่ยังกล่าวอ้างอิงเงื่อนไขเดิมอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
จึงไม่แปลกที่สังคมไทยไม่เคยจบสิ้นเรื่องปัญหา แม้ว่าประเทศไทยจะเดินผ่านเรื่องราวต่างๆ มายาวนาน การจุดประกายแบบเดิมๆ ของบุคคลบางกลุ่ม พรรคการเมืองบางพรรค โดยอ้างการสืบเจตนารมณ์คณะราษฎร์ 2475 จึงยังก่อเกิดขึ้น เพื่อการหวังอำนาจการปกครองแผ่นดินผ่านระบอบกฎหมายที่ถูกตราขึ้น เพื่อเอื้อต่อการเข้าไปใช้อำนาจแทนประชาชนในการปกครองบริหารจัดการแผ่นดิน เพื่อการแสวงหาประโยชน์บนแผ่นดินไทย โดยอาศัยความชอบธรรมทางสังคม ประชาชนจึงเป็นเป้าหมายหลักต่อการถูกโน้มน้าวชักนำไปในทิศทางความคิดของตนและหมู่คณะ โดยสารพัดวิธีที่ถูกขุดขึ้นมาใช้ มีการแปรจุดแข็ง ความสวยงามทางสังคม ให้เป็นจุดอ่อน จนหมู่ชนที่ขาดสติปัญญาชักจะคล้อยตาม
ดังนั้น การช่วยกันแนะนำสั่งสอนให้คนในสังคมมีสติปัญญา จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุดในวิถีสังคมที่ผันผวนไปจากความจริงแบบนี้ ก็ได้แต่ขอให้ทุกคนได้ช่วยกันให้สติซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะองค์กรทางด้านศาสนาที่ควรนำศาสนิกชนเข้าสู่การปฏิบัติธรรม ด้วยการเจริญสติให้มากยิ่งขึ้น เพื่อการมีปัญญารู้แจ้งเข้าใจในธรรม สามารถพัฒนาจิตใจให้ปลอดจากภัยแห่งกิเลสตัณหาได้จริง และเพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มบุคคลที่กระหายอยากได้อำนาจการปกครองแผ่นดินมาสนองตัณหาตนและหมู่คณะ”