ต้องปฏิรูปแนวเสรีประชาธิปไตยที่ก้าวหน้า ไทยจึงจะรอด
ชนชั้นนำไทยทุกกลุ่มมีกรอบคิดแบบจารีตนิยมทางการเมือง สังคม และเสรีนิยมทางเศรษฐกิจแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา
พวกเขาจึงไม่มีแนวทางที่จะปฏิรูประบบเศรษฐกิจสังคมไทยได้อย่างแท้จริง ทั้งกลุ่มสนับสนุนคุณประยุทธ์และกลุ่มต่อต้านต่างมองแบบสุดโต่ง คิดว่าพวกตนถูก 100% และอีกฝ่ายผิด 100% ไม่มีความไว้วางใจในอีกฝ่ายหนึ่ง แข่งขันแบบวิจารณ์คัดค้านในเกือบทุกเรื่อง มุ่งเอาชนะกันทุกวิถีทาง ไม่สามารถร่วมมือและแข่งขันกันตามกรอบกติกา (รัฐธรรมนูญ กฎหมาย ประเพณีประชาธิปไตย) เพื่อปฏิรูปเศรษฐกิจประเทศไทยให้เข้มแข็ง แก้ปัญหาเพื่อส่วนรวม และแข่งขันกับประเทศอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การคิดและทำแบบขาวดำ 2 ขั้วสุดโต่ง ถ้าคนไหนไม่ใช่พวกนิยมการเมืองแบบเสื้อสีเหลืองก็ต้องเป็นพวกเสื้อแดง นักจิตวิทยามองว่าเป็นความคิดที่บิดเบือนไม่ตรงกับความเป็นจริง ใช้อารมณ์ความรู้สึกมากกว่าการใช้เหตุผล และหลักฐานประจักษ์พยานเชิงวิชาการ การคิดแบบ 2 ขั้วสุดโต่งว่าจะต้องเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง มองไม่เห็นสีเทา สีอื่นๆ ทางเลือกแบบอื่นที่หลากหลายมากกว่า 2 ขั้ว นำไปสู่ข้อสรุปและการกระทำที่ผิดพลาด เกลียดชัง ทำลายล้างสังคมโดยรวมได้
ประเทศไทยยังมีกลุ่มคิด 2 ขั้วสุดโต่งทางอุดมการณ์ในเรื่องอื่นอีก เช่น กลุ่มจารีตนิยมอำนาจนิยมซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นเก่า และกลุ่มเสรีนิยมแบบตะวันตก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ ต่างฝ่ายต่างคิด แสดงออกแบบสุดโต่ง ไม่รู้จักคิดแบบใจกว้าง คิดแบบยอมรับโลกที่เป็นจริงนั้นมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม หรือคิดแบบผู้ที่มีวุฒิภาวะ มีความอดกลั้น เมตตา มองทางสายกลาง แบบประนีประนอมประสานประโยชน์ มากกว่าจะมองแบบสุดโต่งทางใดทางหนึ่ง
กลุ่มประยุทธ์-สมคิดนั้น ใช้แนวทางการบริหาร/พัฒนาประเทศแบบส่งเสริมการเติบโตของทุนนิยมสุดโต่งที่เอื้อนายทุนใหญ่ไม่ได้ต่างไปจากกลุ่มทักษิณ-สมคิดในอดีต หรือกลุ่มตัวแทนทักษิณในปัจจุบัน ต่างกันที่ตัวบุคคลที่มาจากกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอำนาจ คนละกลุ่มเท่านั้น
ความคิด ความเชื่อแบบเลือกข้างใดข้างหนึ่ง และอ้างว่าถ้าข้างของตนได้เป็นรัฐบาลจะแก้ปัญหา พัฒนาประเทศได้ดีกว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นความคิดแบบหาเสียงและเลือกข้างที่ไม่สอดคล้องกับความจริง ความจริงคือทั้ง 2 ขั้ว ต่างก็เป็นพวกแสวงหาอำนาจ/ผลประโยชน์เอื้อนายทุนใหญ่และส่งเสริมเติบโตของธุรกิจการผลิต การบริโภค การเอาเปรียบทั้งแรงงานและทรัพยากรธรรมชาติ มากกว่าที่จะสนใจ/เข้าใจเรื่องการปฏิรูปเชิงโครงสร้างระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ เพื่อกระจายทรัพย์สินและรายได้ให้คนส่วนใหญ่อย่างทั่วถึง/เป็นธรรม เน้นคุณภาพชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ดี
ปัญหานโยบายเศรษฐกิจแบบเอื้อนายทุนใหญ่ เอื้อการเติบโตของการลงทุนผลิตและการบริโภคทางวัตถุเป็นความคิดแบบสุดโต่ง ที่ทั้ง 2 ขั้วการเมืองใหญ่คิดในเรื่องนี้คล้ายกัน รองนายกฯ เศรษฐกิจของประยุทธ์ก็คือรองนายกฯ เศรษฐกิจของทักษิณมาก่อน นโยบายก็แนวเดียวกัน แถมสมัย 5 ปี คสช.ยังใช้อำนาจรวมศูนย์ ใช้มาตรา 44 และออกกฎหมายโดยพรรคพวกของตน เอื้อนายทุนใหญ่หรือระบบทุนนิยมผูกขาดได้มากกว่ายุคทักษิณด้วยซ้ำ
ในระยะสั้น สิ่งที่ประชาชนทำได้อาจจะเป็นแค่การสนับสนุนให้นักการเมืองทั้ง 2 ฝ่ายแข่งขัน คัดค้าน วิพากษ์วิจารณ์กัน ภายใต้กรอบมติรัฐธรรมนูญ กฎหมาย อย่างสันติวิธี มีเหตุผลและยึดหลักการวิชาการ ความจริง ความถูกต้อง เพื่อทำให้ระบอบรัฐสภาคงเดินหน้าต่อ แม้ระบบรัฐสภาในปัจจุบันจะมีข้อจำกัดที่เป็นประโยชน์ต่อนายทุน คนรวย รวมทั้งนายทหาร นายตำรวจ ข้าราชการชั้นสูง มากกว่าประชาชนทั่วไป แต่ก็น่าจะมีโอกาสทำให้ประชาชนมีเสรีภาพในการเรียกร้องและเรียนรู้ทางเศรษฐกิจการเมืองได้ดีกว่า ในยุคการขัดแย้งรุนแรงแบบ 2 ขั้วสุดโต่งอย่างในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา
ปัญญาชน นักวิชาการ ประชาชนที่ตื่นตัวควรเสนอแนะ เรียกร้องผลักดันให้ทั้ง 2 ฝ่ายที่คิดแบบขาวดำ 2 ขั้วสุดโต่งให้หัดคิดแบบใจกว้าง มองปัญหาอย่างจำแนกเป็นเรื่องๆ เป็นตัวของตัวเอง ลดการพึ่งพาหัวหน้าใหญ่ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน ช่วยกันวิเคราะห์ อธิบายให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจมากขึ้นว่าการคิดและใช้อำนาจนิยมแบบรวมศูนย์และการพัฒนาประเทศแนวขาย/ทรัพยากรทุกอย่างเพื่อเน้นการเติบโตของธุรกิจการค้าโดยเฉพาะทุนใหญ่นั้น ไม่อาจทำให้ประชาชน/ประเทศเข้มแข็งไปแข่งขันกับประเทศได้อย่างแท้จริง
ทางรอดของประเทศไทยคือ ต้องคิด/ทำ ปฏิรูปประเทศในแนวเสรีประชาธิปไตยที่ก้าวหน้า กล้าผ่าตัดปฏิรูปโครงสร้างการเป็นเจ้าของทรัพย์สินให้เกิดความเป็นธรรมขึ้น จำกัดขนาดการถือครองที่ดิน สกัดกั้น ปรับ เพิ่มภาษีบริษัทขนาดใหญ่ที่ผูกขาด เก็บภาษีทรัพย์สิน/รายได้คนรวยในอัตราก้าวหน้าและกระจายทรัพย์สินและรายได้สู่ประชาชนอย่างเป็นธรรม ปฏิรูปการศึกษา สื่อต่างๆ ให้คนฉลาด รักการอ่าน คิดวิเคราะห์ด้วยเหตุผลและหลักฐานข้อมูลเป็น ปฏิรูปเศรษฐกิจสังคมที่เน้นการทำให้คนจนคนด้อยโอกาสกว่าให้มีความรู้ความสามารถ มีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น
ส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็ก วิสาหกิจชุมชน ระบบสหกรณ์ประเภทต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ สามารถแข่งขันได้เพิ่มขึ้น จึงจะทำให้ประชาชนเข้มแข็งมีประสิทธิภาพ มีอำนาจซื้อ ตลาดภายในประเทศใหญ่ขึ้น เศรษฐกิจไทยสามารถพัฒนาจากแรงงาน ทรัพยากร การใช้จ่ายหมุนเวียนภายในเพิ่มขึ้น และลดประเทศการพึ่งพาทุนและการค้ากับต่างชาติลงมาเท่าที่จำเป็น/เป็นประโยชน์
ประชาชนต้องอ่าน คิด วิเคราะห์ อภิปราย หาแนวนโยบายการพัฒนาประเทศทางเลือกที่เน้นความเป็นธรรม ประชาชนมีคุณภาพชีวิต มีสิ่งแวดล้อมที่ดี ไปแทนที่นโยบายที่เน้นการเติบโตทางวัตถุ การเป็นหนี้เพิ่ม การทำงานหนัก เครียด ปัญหาจราจรติดขัด ฝุ่นพิษ สารเคมีอันตราย โรคมะเร็ง โรคทางกายและทางใจอื่นๆ ปัญหาการเสพติดเหล้า บุหรี่ สารเสพติด การพนัน เกมออนไลน์ เสพติดการซื้อและบริโภคสินค้าและบริการต่างๆ ฯลฯ อย่างที่เป็นอยู่ และจะเป็นต่อไป ถ้ารัฐบาล (ไม่ว่าขั้วใดขั้วหนึ่ง) โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจยังคิดเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจแบบเน้นการเติบโตทางวัตถุแบบสุดโต่งอยู่อย่างไม่เข้าใจว่าไทยมีทรัพยากร และกำลังคนมากพอที่จะพัฒนาทางเลือกอื่นได้
ประชาชนควรอ่าน ฟัง อภิปราย ศึกษาสภาพ สาเหตุ และแนวทางออกของปัญหาเศรษฐกิจสังคมที่เป็นปัญหาใหญ่ที่ภาคประชาชนต้องเผชิญอยู่จริงมากขึ้น
แนวคิดอุดมการณ์ที่จะช่วยแก้ปัญหาและพัฒนาเพื่อประโยชน์คนส่วนใหญ่ได้จริง ควรเป็นแนวคิดแบบเสรีประชาธิปไตยก้าวหน้า ที่เน้นการปฏิรูปการศึกษา การพัฒนาแรงงานให้มีผลิตภาพหรือประสิทธิภาพสูงขึ้น การปฏิรูปเชิงโครงสร้างระบบเศรษฐกิจสังคม (เช่นการถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ทรัพย์สินต่างๆ) ที่เน้นการกระจายทรัพย์สิน รายได้ สิทธิและโอกาสทางเศรษฐกิจสังคมสู่ประชาชนทั้งประเทศอย่างเป็นธรรมเพิ่มขึ้น การลดการทำลายสิ่งแวดล้อม
นโยบายทางเลือกใหม่นี้ จะทำให้คนไทยมีผลิตภาพหรือประสิทธิภาพในการผลิต มีรายได้ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เศรษฐกิจภายในประเทศจะเข้มแข็งได้มากขึ้น และควรเน้นที่การเจริญเติบโตด้านคุณภาพ การเพิ่มความสุข ความพอใจของประชาชนส่วนใหญ่ เพื่อการพัฒนาที่ถึงประชาชนและยั่งยืนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ปากพูดอย่าง แต่ทำตรงกันข้าม