จริยธรรม .. เครื่องมือสร้างสรรค์ของคนดี !!
เจริญพรสาธุชนผู้มีปัญญาศรัทธาในพระพุทธศาสนา ฝนฟ้ากําลังทําหน้าที่ไปตามฤดูกาล ท้องทุ่งไร่นา ห้วยหนองคลองบึง จึงเต็มไปด้วยน้ำ นั่นเป็นภาวะปกติ
เราจึงเห็นแม่น้ำลําคลองใหญ่ น้อยที่มีลักษณะเชื่อมสัมพันธ์กันเหมือนใยแมงมุม ได้ถักทอสายน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงแผ่นดิน ได้พร้อม กันเคลื่อนขบวนพาเหรดน้ำชําระเอาเศษสิ่งมูลฝอยต่าง ๆ ออกสู่ทะเล มหาสมุทร ตบแต่งโลกนี้ สมบูรณ์สวยงามด้วยมือธรรมชาติ
ความเป็นอยู่ที่อ้างอิงอาศัยธรรม ภายใต้กฎธรรมชาติอันเสมอกัน จึงทําให้เกิดศาสตร์ศิลป์ ในการดํารงชีวิตของสัตว์มนุษย์ ที่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เสมอกับสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งที่มี ชีวิตและไม่มีชีวิต มีจิตวิญญาณหรือไม่มีจิตวิญญาณครองในชีวิตนั้น ๆ
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็นความเป็นจริงในธรรมชาติอย่างเป็นธรรมดาว่า สิ่งทั้งหลาย ต้องเป็นเช่นนี้ .. ต้องเป็นอย่างนี้ .... ไม่แปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น จึงได้วางรากฐานการปฏิบัติหรือ การดํารงชีวิตที่เรียกว่า พระวินัยของคณะสงฆ์ ให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ด้วยการให้ รู้จักการปรับสร้างภาวะความสมดุลในการใช้ชีวิตที่เชื่อมสัมพันธ์กับ สังคม สิ่งแวดล้อม ผ่านวิถี ธรรมตามธรรมวิธีในพระพุทธศาสนา
เฉกเช่น การวางหลักสงเคราะห์โดยธรรม เพื่อเป็นแนวการตัดสินใจในการก่อปฏิสัมพันธ์ กับบุคคล สังคม สิ่งแวดล้อมในธรรมชาติ จึงนับเป็นเรื่องสะท้อนให้เห็น จริยธรรมอันประเสริฐ ที่ ก่อเกิดจากสติปัญญาอันเคารพกฎธรรมชาติตามแนวศีลธรรม ซึ่งนับเป็นปกติวิสัยของ บัณฑิต ผู้รู้ ผู้เคารพธรรมในพระพุทธศาสนา
แต่บนสัจธรรมที่ควรน้อมรับจริยธรรมอันประเสริฐ จะไม่เกิดขึ้นในหมู่ทุรชนคนพาล อกตัญญู เนรคุณต่อธรรมชาติ โดยเฉพาะต่อแผ่นดินเกิด ซึ่งแม้เป็นธรรมชาติที่ไม่มีชีวิต .. ไม่มีจิต วิญญาณ แต่ทรงคุณค่ายิ่งต่อสรรพสิ่งในโลก โดยเฉพาะในสัตว์ทั้งหลาย ที่ควรแก่การรู้คุณ เพื่อการ ก่อเกิดกําลังพลังแผ่นดิน
การรู้จักใช้หลักสงเคราะห์โดยธรรม .. จึงเป็นสาระที่สําคัญของจริยธรรม อันจะต้อง คํานึงถึงประโยชน์และความเหมาะควรเป็นสําคัญ และจักต้องคํานึงถึงประโยชน์แห่งธรรมนั้นเป็น ที่สุด เพื่อจักได้รู้ถึงสัจธรรมที่ว่า
ควรสงเคราะห์ ในสิ่งที่ควรสงเคราะห์
ไม่ควรสงเคราะห์ ในสิ่งที่ไม่ควรสงเคราะห์
ด้วยหากสงเคราะห์ในสิ่งที่ไม่ควร หรือ ไม่สงเคราะห์ในสิ่งที่ควร นั่นเป็นมิจฉาธรรม .. มิจฉาปฏิบัติ แน่นอน ที่จะนําไปสู่ความไร้ประโยชน์ ให้เป็นโทษภัย โดยมิควรเลย
นั่งมองดูสถานการณ์น้ำที่ไหลบ่าผ่านไปตามลําน้ำใหญ่น้อย อย่างแน่วแน่มั่นคง แม้จะพาน พบอุปสรรคนานาประการจากน้ำมือของมนุษย์ ผู้คํานึงถึงแต่ประโยชน์ตน จึงให้นึกเห็นใจที่ต้อง ทนทําหน้าที่โดยมิได้ปริปากบ่นก่นด่าว่าใครเลย แม้จะต้องรองรับภาระปัญหาเศษสิ่งปฏิกูลมูล สกปรกมากมาย ที่หมู่สัตว์ร่วมกันสํารอกสํารากขากถุยลงไปอย่างไร้ใจเคารพธรรม .... ขาดความ สํานึกในมโนธรรมตามฐานะสัตว์ประเสริฐ
แต่แม่น้ำก็ยังทําหน้าที่อย่างอดทน แน่วแน่ ไม่แปรเปลี่ยน เพื่อสืบสานความสมดุลให้โลก ใบนี้ได้ดํารงสืบต่อไปอย่างดีที่สุด ตราบที่ยังต้องทําหน้าที่อันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
วิถีแห่งสายน้ำจึงน่าศึกษา เมื่อมาบรรจบสัมพันธ์กับวิถีแห่งชีวิตของหมู่ชนในโลกใบนี้ ที่ ต้องดํารงชีวิตดําเนินสืบเนื่องไปโดยแอบอิงอาศัยธรรมชาติทั้งหลายอย่างไม่หวั่นไหว แม้ว่าสาย ชีวิตจิตวิญญาณ ... คุณค่าความสํานึกของสัตว์โลก จะปรับเปลี่ยนแปรไปตามอํานาจของกิเลส ที่ไม่ เคยให้โลกใบนี้หยุด.. นิ่ง สงบ เย็น
บัณฑิตทางธรรม. จึงกล่าวยกย่องบูชา สายน้ำ แม่น้ำ ที่ทรงคุณอนันต์อย่างมั่นคงต่อ สรรพสิ่งทั้งหลายในธรรมชาตินี้ว่า แม่ ด้วยความเป็นผู้มีอุปการคุณต่อโลกที่ไม่เคยหวั่นไหว แม้ ในแรงสะท้อนกลับที่มีค่าเป็นลบ.
ทางธรรมจึงยกคุณค่าของแม่น้ำมาเปรียบดุจสายปัญญา ที่จะนําพาอํานาจธรรมเข้าไป ชําระล้างสิ่งสกปรก คือ กิเลส อันก่อเกิดก้อนโมหะให้ออกไปจากจิตใจของหมู่สัตว์ได้แท้จริง
การนําปัญญามาไล่โมหะ จึงเป็นสิ่งที่ชอบธรรม. หากนําโมหะไปไล่ปัญญา เป็นสิ่งที่ วิปริตไปจากธรรม ด้วยเพราะโมหะจึงยังให้หมู่ชนทําบาปกรรมอย่างไม่รู้สํานึก (ปาปานิ กมุมานิ กโรนุติ โมหา) ฉะนั้น การจะทําให้โมหะสิ้นไปจึงต้องนําแสงสว่างคือปัญญาเข้าไปขับไล่ ... ชําระ ล้าง นี่เป็นสัจธรรม !!
เฉกเช่นเดียวกับการเรียกร้องจริยธรรมของหมู่ชนที่บ่นก่นด่ากล่าวอ้างคําหยาบ นั่นไม่ น่าจะใช่ฐานะ เพราะคนบาป คนหยาบ คนเนรคุณต่อแผ่นดิน ยากจะรู้จักความหมายแท้จริงของ คําว่า จริยธรรม ด้วยผู้ที่จะรู้คุณค่าความหมายของจริยธรรมแท้จริง ต้องมาจากผู้ประพฤติตนตาม ทํานองคลองธรรม ดําเนินชีวิตอย่างมีศีลธรรมเท่านั้น และสําคัญยิ่ง คือ ต้องเป็นผู้มีความกตัญญู กตเวทิตา ทั้งต่อตน สังคม ประเทศชาติ เท่านั้น
เจริญพร