บทเรียนการลงทุนจากวิกฤติโควิด19

บทเรียนการลงทุนจากวิกฤติโควิด19

สำหรับนักลงทุน “รุ่นใหม่” ส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทย  “วิกฤติโควิด19” น่าจะเป็น “Wake Up Call”

หรือการปลุกให้ตื่นขึ้นเพื่อเผชิญกับความเป็นจริงที่โหดร้ายของการลงทุนที่คนจำนวนมากไม่ได้ตระหนัก  เพราะสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่เกิน 12 ปี คือเริ่มลงทุนหลังวิกฤติซับไพร์มในปี 2551 แล้ว  พวกเขาไม่เคยประสบกับการตกลงมาอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นจริง ๆ  เลย  ปีที่หุ้นลงแรง ที่สุดก็ไม่เกิน 15% ส่วนใหญ่หุ้นจะขึ้นและก็ขึ้นแรงเกินปีละ 10%  ปีที่หุ้นขึ้นไปเกิน 30% มีถึง 3 ปี  อย่างไรก็ตาม  วิกฤติครั้งนี้นับถึงวันวันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563 ทำให้ดัชนีหุ้นตกลงมาต่ำที่สุดในรอบประมาณ 8 ปี  ซึ่งก็แปลว่าคนที่เริ่มลงทุนมาน้อยกว่า 8 ปี และเป็นนักลงทุนระยะยาว  ทั้งที่ลงทุนเองและลงทุนผ่านกองทุนรวมประเภทต่าง ๆ  นั้น  โดยส่วนใหญ่แล้วอาจจะไม่ได้ผลตอบแทนเลย  เงินหรือความมั่งคั่งที่เก็บสะสมมาตลอดและเคยรู้สึกว่ามันเพิ่มขึ้นมากนั้น  หายไปภายใน “พริบตา”  และนี่ก็ยัง “ไม่จบ” ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป  และนี่ก็คือบทเรียนที่หนึ่งของ “วิกฤติตลาดหุ้น” ที่ว่า  “การลงทุนมีความเสี่ยง” โดยเฉพาะความเสี่ยงจาก “วิกฤติตลาดหุ้น”

บทเรียนที่สองก็คือ  วิกฤติตลาดหุ้นนั้น  ดูเหมือนว่ามันเป็นเรื่อง “ปกติ” ที่จะต้องเกิดภายในระยะเวลาประมาณไม่เกินทุก 10 ปี  วิกฤติครั้งนี้อาจจะมาช้าหน่อยแต่สุดท้ายก็มา  ผมเองผ่านวิกฤติมาหลายครั้ง  แต่แล้วก็ไม่จำหรือพยายามหาเหตุผลว่าครั้งนี้มันคงไม่เกิดเพราะมันไม่มีสัญญาณทางการเงินที่มีเหตุผลชัดเจนว่ามันจะเกิด  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  เงินล้นโลกและดอกเบี้ยต่ำสุดในประวัติศาสตร์และราคาหุ้นก็ไม่ได้อยู่ในระดับสูงมากเป็นช่วง “กระทิง”  ว่าที่จริงตลาดหุ้นไทยไม่ได้ไปไหนมาไม่ต่ำกว่า 5-6 ปีแล้ว  มันจะเกิดวิกฤติด้วยเรื่องใด  อย่างมากก็น่าจะแค่ถูก  “หางเลข” จากตลาดหุ้นโลกที่อาจเกิดวิกฤติ- ถ้ามี  ดังนั้น  วิกฤติครั้งนี้ผมจะต้องจำเป็นบทเรียนว่า  วิกฤตินั้น  เป็นสิ่งที่ “คาดไม่ได้” แต่มันมักจะต้องมาในวันใดวันหนึ่งในช่วงไม่เกินประมาณ 10 ปี นับจากวิกฤติครั้งที่แล้ว

บทเรียนที่สามก็คือ  ในวิกฤตินั้น  หุ้นกลุ่มที่จะตกลงมาแรงมากทุกครั้งก็คือ  หุ้นของสถาบันการเงินโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ทั้งหลาย  แม้แต่ครั้งนี้ที่สาเหตุของวิกฤติไม่ได้มาจากสถาบันการเงินแต่สุดท้ายมันก็มาลงที่สถาบันการเงินอยู่ดี  เหตุผลคงเป็นว่าสถาบันการเงินนั้นผูกติดอยู่กับเศรษฐกิจอย่างแยกไม่ออก  เศรษฐกิจทรุดเมื่อไร  ธนาคารก็ไปเมื่อนั้น  เหนือสิ่งอื่นใด  สถาบันการเงินนั้นกู้ยืมเงินมหาศาล  อย่างน้อย 4-5 เท่าหรือ 10 เท่าของทุนของตนเอง  ความเสี่ยงจึงมีมหาศาล  ยิ่งไปกว่านั้น  หุ้นแบ้งค์เป็นหุ้นที่มีผู้ถือหุ้นที่เป็นนักลงทุนเกือบ 100% Free Float สูงมาก  และถูกถือโดยนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนสถาบันเกือบทุกแห่ง  ดังนั้น  ในวันที่เกิดวิกฤติ  ไม่มีใครจะมารับซื้อหุ้นได้พอไม่ว่าพื้นฐานของบริษัทจะเป็นอย่างไร

 บทเรียนที่ตามมาจากข้อที่สามก็คือ หุ้นของกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลาย  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือผู้ขุดน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีทั้งหลายต่างก็จะตกลงมาอย่างหนัก  เหตุผลก็คือ  ราคาของสินค้าเหล่านี้มักจะตกลงมาแรงมากอานิสงค์จากการหดตัวของ GDP ที่ทำให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ลดลงในขณะที่ต้นทุนการผลิตยังเท่าเดิม  ผลก็คือ  บริษัทขาดทุนอย่างหนัก  ทำให้หุ้นตกลงมาตาม

 บทเรียนที่ 5 ก็คือ  หุ้นกลุ่มที่จะพอเอาตัวรอดได้จากวิกฤติก็คือ  ผู้ที่ผลิตหรือขายสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันและเป็นกิจการที่บริษัทมีการผูกขาดหรือมีอำนาจทางการตลาดสูง  พูดง่าย ๆ  ยังไงคนก็จะต้องกินต้องใช้  แม้จะลดลงบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับทำให้บริษัทขาดทุนหรือมีปัญหาทางการเงิน  ตัวอย่างเช่น  กลุ่มโทรคมนาคมที่ให้บริการโทรศัพท์มือถือ  สาธารณูปโภคเช่น ไฟฟ้าและน้ำประปา  ค้าปลีกขนาดใหญ่ที่ขายอาหารและสินค้าจำเป็นประจำวันและร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น  เหตุผลก็ชัดเจนว่าพวกเขาก็อาจจะมีรายได้และกำไรลดลง  แต่มันไม่เป็นหายนะ  และเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น  มันก็มักจะกลับมาเหมือนเดิม

  บทเรียนที่ 6 ก็คือ  หุ้นที่อันตรายที่สุดในยามเกิดวิกฤติก็คือ  หุ้นขนาดเล็กถึงกลางที่ “โตเร็ว” และมีราคาแพงหรือค่า PE ที่สูงมากจนแทบเป็นไปไม่ได้  เพราะหุ้นเหล่านี้มักจะถูกเข้ามาเล่นเก็งกำไรโดยนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากผสมกับนักเก็งกำไรรายใหญ่ที่มักจะเข้ามา  “ดูแล”  หรือ “ปั่นหุ้น” จนทำให้ราคาหุ้นสูงเกินพื้นฐานไปมาก   ในภาวะที่ตลาดหุ้นดีหรือยังเอื้ออำนวย  ราคาก็มักจะดำรงอยู่ได้  ปริมาณการซื้อขายหุ้นก็ยังสูงพอที่จะทำให้นักเล่นหุ้นสบายใจว่าสามารถซื้อและขายได้ด้วยราคาที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก  อย่างไรก็ตาม  วิกฤติมักทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป  คนไม่เชื่อว่าบริษัทจะโตได้ในภาวะอย่างนี้จึงเริ่มขายหุ้นทิ้ง   รายใหญ่อาจจะเริ่มขายเพื่อทำกำไรหรือหนีตายเนื่องจากอาจจะกังวลว่าหุ้นจะตกจนตนเองถูกเรียกให้วางเงินมาร์จินเพิ่มเติมจากโบรกเกอร์  ผลก็คือ  ราคาหุ้นตกดิ่งลงมาโดยหาผู้ซื้อได้ยาก  ปริมาณการซื้อขายลดลงอย่างรวดเร็วจนคนที่ถือหุ้นมากขายออกไปไม่ได้  หุ้นกลายเป็น  “หายนะ”

 บทเรียนที่ 7 ก็คือ หุ้นที่อยู่ใน “ศูนย์กลางของวิกฤติ” กล่าวคือเป็นหุ้นที่ถูกกระทบโดยตรงและ  เต็ม ๆ  มักจะตกลงมาแทบเป็น “หายนะ” เสมอ  โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นบริษัทที่มีฐานะทางการเงินไม่แข็งแรงเช่น  มีหนี้สินมากกว่าที่ควรจะเป็นและ/หรือมีความไม่สอดคล้องในเรื่องของระยะเวลาถึงกำหนดของการชำระหนี้กับรายได้ที่จะเข้ามา  เหตุผลก็คือ  นอกจากผลประกอบการที่จะตกลงมาอย่างหนักแล้ว   ยังมาจากความเสี่ยงที่บริษัทอาจจะล้มละลายหรือต้องเพิ่มทุนจำนวนมากพร้อมกับการลดทุนของผู้ถือหุ้นเดิมด้วย  ในรอบวิกฤติปี 2540 ศูนย์กลางคือบริษัทเงินทุน  ส่วนรอบนี้ก็คือธุรกิจท่องเที่ยวที่ถูกกระทบเต็ม ๆ และยังไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไร

 บทเรียนที่ 8 คือ  สิ่งที่ผมอยากจะเตือนไว้สำหรับคนที่อยากจะ “ช้อนหุ้น” ที่ตกลงมาแรงมากเพราะเชื่อว่าเมื่อวิกฤติผ่านไปแล้วหุ้นก็จะฟื้นตัว  หุ้นที่ตกลงไปมากก็จะขึ้นมากกว่าหุ้นที่ตกลงมาน้อย  นี่เป็นเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ  ในช่วงที่พื้นฐานของกิจการยังไม่ปรากฏ  คนยัง “เก็งกำไร” กันอยู่  ซึ่งช่วงนี้ก็อาจจะทำให้เกิด “การปรับตัวขึ้นทางเทคนิค”  เป็นระยะ ๆ  ได้  อย่างไรก็ตาม  สำหรับคนที่ลงทุนระยะยาวแล้ว  สิ่งที่ต้องดูก็คือ  มูลค่าที่แท้จริงวัดจากผลประกอบการระยะยาวเทียบกับราคาหุ้น  ดังนั้น  สิ่งที่จะต้องมองก็คือ  ผลประกอบการจะเป็นอย่างไรต่อไปทั้งในระยะสั้นและระยะยาว  ประเด็นก็คือ  ในช่วงแรก ๆ  ของวิกฤติตลาดหุ้น  การประเมินผลกระทบยังเป็นเรื่องยาก  แต่เมื่อเวลาผ่านไป  เราจะเห็นข้อมูลมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ  ในกรณีวิกฤติโควิดครั้งนี้  ตัวเลขที่จะต้องจับตามองก็คือ  ผลประกอบการไตรมาศแรกและไตรมาศสองที่จะออกมาในระยะเวลาอีก 1 เดือนและ 4 เดือนข้างหน้า ตามลำดับ  เพราะมันจะบอกว่าผลประกอบการทั้งปีจะเป็นอย่างไร  รวมไปถึงสถานะการระบาดของเชื้อไวรัสที่จะบอกว่ามันควรจะยุติได้เมื่อไร  สำหรับผมแล้ว  การลงทุนในวันนี้เองนั้น  ส่วนใหญ่น่าจะเป็นเรื่องของการ  “เก็งกำไร” ซึ่งมีความเสี่ยงไม่น้อย

 บทเรียนสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ  ในทุกวิกฤติก็จะมี “ผู้แพ้” และ “ผู้ชนะ” เสมอ  ก่อนวิกฤติบริษัทบางกลุ่ม เจ้าสัวบางตระกูล หรือนักลงทุนบางคน “ร่ำรวย” กว่าคนอื่น  หลังวิกฤติก็จะมีบริษัทกลุ่มใหม่  เศรษฐีตระกูลใหม่  หรือนักลงทุนกลุ่มใหม่ร่ำรวยขึ้นมาแทน  “คุณค่า” ของกิจการเปลี่ยนแปลงไปจากกลุ่มเดิมเป็นกลุ่มใหม่  บางครั้งก็เป็นธุรกิจ  “New Economy” ในวิกฤติครั้งนี้  คงต้องดูกันต่อไปว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบที่เคยผ่านมาไหม  นี่ก็คงขึ้นอยู่กับสถานภาพของเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วย  เพราะในอดีตนั้น  ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ  หลังจากนั้นไทยก็กลับมาโตต่อไปได้อย่างแข็งแรง  แต่ครั้งนี้ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก  เหตุผลก็เพราะว่าตั้งแต่ก่อนวิกฤติหลายปีเราก็อ่อนแอลงมาโดยตลอดอยู่แล้ว  ผมก็อยากจะหวังว่า  หลังวิกฤติเราจะเกิด “ปาฏิหาริย์” ที่ทำให้ประเทศไทยกลับมาแข็งแกร่งและพร้อมต่อสู้กับประเทศอื่น ๆ  ทั่วโลกได้อย่างที่เคยเป็นมาช้านาน  และนั่นก็จะเป็นเวลาที่หุ้นไทยก็จะเติบโตขึ้นต่อไปอีกนานเช่นเดียวกัน