การมาของโควิด-19 ไม่ได้เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายใดๆ
แม้สถานการณ์โควิด-19 ในบ้านเราจะดูคลี่คลายด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อที่ลดลงและเริ่มผ่อนปรนมาตรการต่างๆ สะท้อนให้เห็นว่าเราน่าจะควบคุมการระบาดได้เป็นอย่างดี แต่หลายประเทศทั่วโลกยังคงอยู่ในภาวะวิกฤติโดยเฉพาะเฉพาะในซีกโลกตะวันตกที่ดูจะบานปลายกว่าที่คิด
สาเหตุสำคัญที่บางประเทศไม่อาจควบคุมสถานการณ์จนลุกลามเป็นความขัดแย้งของคนในประเทศ เช่นสหรัฐและบราซิล ส่วนหนึ่งมาจากนักการเมืองที่ไม่ยอมรับความเป็นจริงจึงไม่ยอมสื่อสารข้อเท็จจริงให้ประชาชนรับรู้เพราะกลัวจะเสียคะแนนนิยม
เมื่อการสื่อสารของภาครัฐไม่น่าเชื่อถือ ข่าวปลอม ข่าวลือ และเฟคนิวส์ทั้งหลายก็แพร่ระบาดจนไม่อาจหยุดยั้งได้ ผลที่เกิดขึ้นก็คือความแตกแยกของประชาชนแทนที่จะร่วมมือกับรัฐบาลป้องกันการแพร่ระบาดกลับกลายเป็นความหวาดระแวงไม่เชื่อว่าโรคโควิด-19 เป็นเรื่องจริงและเรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยให้ประชาชนใช้ชีวิตตามปกติจนจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมหาศาล
หากภาครัฐยอมรับความเป็นจริง และจัดลำดับความสำคัญให้ถูกต้องด้วยการให้สาธารณสุขนำการเมืองปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิด เพราะภาวะที่โลกกำลังเผชิญอยู่นี้นับเป็นมหัตภัยร้ายแรงครั้งประวัติศาสตร์ไม่ต่างอะไรกับภาวะสงครามโลกในอดีตเลย
โดยเฉพาะในสหรัฐที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่า 120,000 คนและยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สูงยิ่งกว่าสงครามเวียดนามที่มีผู้เสียชีวิต 58,365 คน รวมไปถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างปี 2457-2461 ที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 116,516 คน
หากมองในภาพรวมระดับโลกด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 10 ล้านคนและผู้เสียชีวิตกว่า 5 แสนคน แต่เราก็รู้กันดีว่าโควิด-19ไม่ใช่โรคระบาดที่แพร่กระจายในระดับโลกเป็นครั้งแรก เพราะเราผ่านสถานการณ์เช่นนี้มาแล้วหลายครั้งหลายหน
เช่นซารส์เมื่อปี 2546 ที่มีผู้เสียชีวิต 774 คน หรือเมอร์สในปี 2554 ที่มีผู้เสียชีวิต 858 คน หรืออีโบลาที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตตั้งแต่ปี 2519 ถึงปัจจุบัน 15,158 คน รวมไปถึงไข้หวัดใหญ่สเปนในปี 2461 ที่มีผู้เสียชีวิตมหาศาลถึง 50 ล้านคน
การมาถึงของโควิด-19 จึงไม่ได้เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายใดๆ แม้กระทั่งบิล เกตส์ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของมูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์ ก็ยังเคยบรรยายไว้ตั้งแต่ปี 2560 ว่าโลกกำลังเผชิญหน้ากับภัยร้ายแรงจากโรคระบาดครั้งใหญ่
บิล เกตส์หันมาใส่ใจเรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยนวัตกรรมและงานวิจัยทางการแพทย์เพราะเขาเล็งเห็นแล้วว่ามหัตภัยจากโรคระบาดจะคุกคามชีวิตของคนทั่วโลกยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์เสียอีก มูลนิธิของเขาจึงทุ่มให้งบการศึกษาและวิจัยการป้องกันและการพัฒนาวัคซีนรักษาโรคไข้หวัดเช่นเดียวกับโควิด-19 โดยบริจาคเงินให้หน่วยงานวิจัยด้านนี้ไปแล้วหลายหมื่นล้านบาท
เพราะบิลเกตส์ย้ำมาหลายปีแล้วว่าภาวะวิกฤติที่จะส่งผลกระทบถึงความมั่นคงของโลกได้มีเพียง 3 อย่างเท่านั้นนั่นคือวิกฤติจากสงครามนิวเคลียร์ วิกฤติจากภาวะโลกร้อน และวิกฤติจากโรคระบาดที่เรากำลังประสบอยู่ในเวลานี้
หากผู้นำของทุกประเทศทั่วโลกเข้าใจบริบทที่โลกกำลังเผชิญอยู่แล้วลดผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเองลง การรับมือโรคโควิด-19 ก็น่าจะมีประสิทธิภาพดีกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ แม้ว่าบ้านเราจะบริหารจัดการได้อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก แต่การที่เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้ต้องหมายถึงทุกประเทศไม่ใช่เฉพาะประเทศของเราเองเท่านั้น