“เรือดำน้ำ” ชน “เรือเหล็ก” ลุงตู่
การจัดซื้อ“เรือดำน้ำ”ของกองทัพเรือ" หาใช่การถกเถียงในเรื่องความจำเป็นในการจัดซื้อตามแผนของกองทัพเรือ
ที่ต้องการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน รวม 3 ลำ มูลค่าทั้งโครงการรวม 36,000 ล้านบาท ที่มีการอนุมัติงบประมาณลำแรกไปแล้ว 13,500 ล้านบาท ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2560 ในสมัย “รัฐบาลลุงตู่ 1” ที่มี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยลำแรกที่อนุมัติงบประมาณไป จะมีการส่งมอบจริงในปี 2567
ที่เป็นประเด็นในวันนี้ คือการขออนุมัติงบประมาณอีก 2 ลำ มูลค่ารวม 22,500 ล้านบาท ที่ถูกท้วงติงจากฝ่ายค้าน พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค และสังคมว่า “ไม่เหมาะสม” เพราะเหตุว่า ประเทศกำลังเผชิญกับภัยพิบัติจากโรคร้าย โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ ประชาชนยากลำบาก ต้องการเงินงบประมาณในการช่วยเหลือเยียวยา และกระตุ้นเศรษฐกิจ
เงินกว่า 22,500 ล้านบาท ที่จะจัดซื้อเรือดำน้ำ น่าจะเอามาใช้ในสิ่งที่จำเป็นก่อนที่จะไปซื้อยุทโธปกรณ์ ที่ยังจำเป็นน้อยกว่า แต่ “พลังประชารัฐ” พรรคแกนนำรัฐบาลกลับโหวตให้ซื้อเรือดำน้ำเจ้าปัญหา จนทำให้ “ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร” หรือ “โจ้ สารคาม” แห่งพรรคเพื่อไทย ออกมาแฉว่า “นายพล ป.” ล็อบบี้ให้ผ่าน และมิใช่การซื้อแบบจีทูจี อย่างที่กองทัพเรือกล่าวอ้าง
จะซื้อแบบไหน ไม่สำคัญเท่ากับว่า “มันมีความจำเป็นเร่งด่วน” หรือไม่ คำตอบคือ “ไม่” สำหรับความจำเป็นของประเทศสามารถชะลอไปก่อนได้ รอให้สถานการณ์โควิด-19 สงบ เศรษฐกิจของประเทศเดินหน้า ประชาชนไม่อดอยาก แล้วค่อยหยิบเรื่องนี้มาพิจารณาใหม่ได้
อย่าทำแบบเกาหลีใต้ ที่ประชาชนยากจนอดอยากแต่สะสมอาวุธอื้อ นายพลและผู้นำประเทศร่ำรวยจากการสะสมอาวุธ ประเทศไทยไม่ต้องการเช่นนั้น ความทุกข์ยากของประชาชนต้องได้รับการแก้ไขก่อนเป็นลำดับแรก
หากเป็นรัฐบาลของประชาชนจริง ต้องมีจิตสำนึก ความรับผิดชอบเฉกเช่นนี้
เว้นแต่ผู้มีอำนาจ ดึงดัน เดินหน้าตามแผน คิดเรื่องความมั่นคงทางทหาร หรือบางคนคิดเรื่องคอมมิสชั่นซื้ออาวุธ
อย่ามาอมพระ พูดว่าไม่มี เพราะซื้อแบบจีทูจี เพราะจีทูจีก็มีนายหน้า คนในวงการค้าอาวุธรู้ดีว่า กรณีเรือดำน้ำ นายหน้าคือใคร ว่ากันว่า “พ่อขายเรือดำน้ำ ลูกทำรถเข็นให้เช่า “ สืบดูกันเองก็แล้วกัน
ถ้าดึงดันกันต่อ “เรือดำน้ำ” นี่แหละ จะชน “เรือเหล็ก” ลุงตู่ ให้จมลงได้