ยกหนี้ กยศ. ถึงยังไม่ทำก็เหมือนทำอยู่แล้ว
เบอร์นีย์ แซนเดอร์ส นักการเมืองสหรัฐเคยเสนอนโยบายการยกเลิกหนี้ กยศ.เพื่อให้หนุ่มสาววัยเริ่มต้นชีวิตการทำงาน สามารถนำเงินไปใช้ลงทุนได้
ก่อนที่ เบอร์นีย์ แซนเดอร์ส จะถอนตัวเพื่อเปิดทางให้โจ ไบเดนเป็นตัวแทนเดโมแครตลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นโยบายหนึ่งของแซนเดอร์สที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ การยกเลิกหนี้ของกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา แซนเดอร์สเชื่อว่าการยกเลิกหนี้จะช่วยให้ชาวอเมริกันที่อยู่ในช่วงต้นของชีวิตการทำงานสามารถนำเงินไปใช้ลงทุนในเรื่องอื่นได้มากขึ้น โดยเฉพาะการซื้อทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของอเมริกา และเนื่องจากคนที่กู้เงินมาเรียนส่วนหนึ่งมาจากครอบครัวที่ฐานะยากจน การยกหนี้จึงช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในทางอ้อมอีกด้วย ไม่แน่ใจว่าคนที่เสนอให้ยกหนี้ กยศ. ของไทยในช่วงเปิดรัฐสภาสมัยวิสามัญที่เพิ่งจบไปจะมีแนวคิดแบบเดียวกันหรือเปล่า
เพื่อให้เห็นประเด็นชัดขึ้นว่าควรจะยกหนี้ กยศ. หรือไม่ เราต้องทำความเข้าใจกับแนวคิดของ “เงินอุดหนุนแฝง” (Implicit Subsidy) ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของการออกแบบกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาทั่วโลก เงินอุดหนุนแฝง คือ การเทียบว่ามูลค่าที่แท้จริงของเงินกู้ทั้งหมดที่ต้องผ่อนชำระเทียบกับมูลค่าเงินตอนที่กู้มาแล้วต่างกันแค่ไหน เช่น ถ้าเงินอุดหนุนแฝงเท่ากับ 40% หมายความว่า หากวันนี้กู้เงินมา 100 บาท ยอดเงินทั้งหมดที่ต้องผ่อนชำระรวมแล้วมีมูลค่าเท่ากับ 60 บาท
ปัจจัยที่มีผลต่อระดับเงินอุดหนุนแฝงมี 2 อย่างด้วยกัน ปัจจัยแรก คือ ระยะเวลาในการชำระเงิน ยิ่งเวลาการชำระเงินนาน มูลค่าของเงินแต่ละบาทก็จะลดลงมากขึ้น มูลค่าของเงินที่ลดลงนี้ถือเป็นการแอบให้เงินอุดหนุนกับผู้กู้นั่นเอง กยศ. เป็นกองทุนที่ออกแบบมาให้ผ่อนชำระ 15 ปี โดยช่วงปีแรก ๆ จะผ่อนน้อยกว่าปีหลัง ๆ เลยทำให้มีเงินอุดหนุนแฝงเกิดขึ้น
ปัจจัยที่สอง คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อ ถ้าอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่คิดจากผู้กู้ ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจริงย่อมมีค่าติดลบ ในกรณีของ กยศ. ที่คิดดอกเบี้ย 1% เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อที่เกิดจากค่าใช้จ่ายในการกินการใช้ในแต่ละวัน (Food Inflation) ซึ่งมีค่าเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาประมาณ 4% ต่อปี แสดงว่าดอกเบี้ยที่แท้จริงคือ -3% นี่คืออีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้เกิดเงินอุดหนุนแฝงขึ้น
ข้อมูลในตารางแสดงให้เห็นระดับเงินอุดหนุนแฝงของกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาของประเทศในเอเชียแปซิฟิค ประเทศไทยมีระดับเงินอุดหนุนแฝงถึง 69.9% หมายความว่า หากมองมูลค่าที่แท้จริงแล้ว คนที่กู้เงิน กยศ. ไป 100 บาท ถ้าจ่ายหนี้ตรงเวลายอดเงินทั้งหมดที่จ่ายคืนก็แค่ประมาณ 30 บาทเท่านั้น หากเทียบกับค่าเฉลี่ยของภูมิภาค เงินอุดหนุนแฝงของ กยศ. มีค่าสูงกว่าถึงเกือบเท่าตัว จะมีแค่อินโดนีเซียที่มีอัตราเงินอุดหนุนแฝงใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ตาม การที่ระดับของเงินอุดหนุนแฝงมีค่าสูงก็ไม่ได้หมายความว่ากองทุนนั้นไม่ดี ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของกองทุน หากเป็นกองทุนที่มุ่งจะช่วยผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงการศึกษาและลดภาระทางการเงินจากการชำระหนี้ในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน การกำหนดระดับเงินอุดหนุนแฝงไว้สูงก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ตราบใดที่ไม่ต่ำเกินไปจนส่งผลต่อความยั่งยืนของกองทุนในระยะยาว
แหล่งที่มาของข้อมูล Shen and Ziderman (2009), Chapman and Lounkaew (2010), และ Chapman and Lounkaew (2015)
จริงอยู่ว่า ในระยะสั้นการยกหนี้ กยศ. จะช่วยบรรเทาภาระของผู้กู้ได้ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ แต่เนื่องจากปีแรก ๆ การผ่อนชำระก็ไม่สูงอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น ถ้ากู้เงินมาเรียน 200,000 บาท ยอดผ่อนชำระในปีแรกจะเท่ากับ 250 บาทต่อเดือน โดยเพิ่มเป็น 580 บาท และ 680 บาทต่อเดือนตามลำดับ สำหรับคนที่จบใหม่ ยังไงเสียสองปีแรกก็ยังไม่ต้องใช้หนี้ ดังนั้น การยกหนี้ไปเลยย่อมส่งผลกระทบต่อกระแสรายได้ที่จะกลับมาสู่กองทุนฯ ที่ตอนนี้ก็เจอปัญหานี้อยู่ระดับหนึ่งอยู่แล้ว
นอกจากนี้ สัจธรรมทางเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง คือ ภาวะเศรษฐกิจตกต่อเกิดขึ้นได้ก็จบลงได้ ถ้ายกหนี้เสียแต่วันนี้ พอเศรษฐกิจดีขึ้นมาแล้วจะตามไปเก็บหนี้ใหม่อีกรอบคงไม่ได้ หนี้ที่หายวับไปในวันนี้จึงตัดโอกาสของคนรุ่นต่อไป ดังนั้น แทนที่จะยกหนี้ สู้ "พักชำระหนี้" ยังดีเสียกว่า เพราะด้วยระดับเงินอุดหนุนแฝงที่มีอยู่ในตอนนี้ ถึงไม่ยกหนี้ก็เหมือนกับยกหนี้ให้ไปตั้งเกือบสามในสี่อยู่แล้ว