เมกะเทรนด์อันต่อไป คือ รถ EV หรือ รถไร้คนขับ?

เมกะเทรนด์อันต่อไป คือ รถ EV หรือ รถไร้คนขับ?

รถพลังงานไฟฟ้า หรือ รถ EV (Electric Vehicle) จริงๆถูกสร้างตั้งแต่ช่วงปี 1881 แล้ว แต่กว่าจะสามารถเข้าสู่ไลน์การผลิตก็ประมาณช่วงปี 1990

*บทความโดย ทิวัตถ์ ชุติภัทร์ ผู้อำนวยฝ่ายการตลาด โครงการนักลงทุน CSI

https://www.facebook.com/CsiSociety

 

รถพลังงานไฟฟ้า หรือ รถ EV (Electric Vehicle) จริงๆถูกสร้างตั้งแต่ช่วงปี 1881 แล้ว แต่กว่าจะสามารถเข้าสู่ไลน์การผลิต และสามารถจัดจำหน่ายสู่ผู้บริโภคเป็นจำนวนมากก็ประมาณช่วงปี 1990 เป็นต้นไป ทั้งบริษัทอย่าง ฮอนด้า โตโยต้า จีเอ็ม ต่างพากันผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขึ้นมากันทั้งนั้น แต่บริษัทเหล่านี้ตระหนักว่าถ้าทำรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองขึ้นมานั้น จะมา disrupt ธุรกิจเดิมที่สร้างรายได้และกำไรอย่างมหาศาลอย่างรถยนต์เครื่องสันดาป จึงทำให้หลายๆบริษัทเลือกที่จะผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจำนวนน้อยๆ และบริษัทส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะทำสัญญาเช่าซื้อกับทางลูกค้าที่มีความสนใจในรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแทนที่จะขายขาด เมื่อสิ้นสุดสัญญาลง ลูกค้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะซื้อรถยนต์เหล่านั้นอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในยุคนั้นไม่สามารถขับได้เป็นระยะทางไกล สามารถใช้ได้เพียงแค่ในตัวเมืองเท่านั้น การชาร์จไฟครั้งหนึ่งสามารถขับได้ไกลสุดเพียงแค่ 100 กิโลเมตรเท่านั้นเองเนื่องจากว่าเป็นแบตเตอรี่กรด ทำให้วิ่งได้ไกลเพียงเท่านี้

 

แต่ตอนปี 2004 บริษัท เทสล่า มอเตอร์ ได้ทำการพัฒนาและสร้างรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขึ้นมา ในตอนแรกอีลอน มัสค์ เจ้าของและผู้ก่อตั้งบริษัท เทสล่า มอเตอร์ ได้มีโอกาสพบเจอกับ เจบี สตรอเบล (J.B. Straubel) นักเรียนจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ผู้มีความคิดที่อยากจะเอาแบตเตอรี่ ลิเธียม ไอออน มาใส่ในรถยนต์เพื่อที่จะให้เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ หลังจากนั้นทั้งสองคนได้จับมือร่วมกัน โดยทาง อีลอน ก็เสนอเงินให้กับทางเจบี 10,000 เหรียญแรกในการสร้างรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หลังจากนั้น บริษัทเทสล่าก็ได้มีการทำฟันดิ่งหลายรอบ และมีนักธุรกิจชื่อดังมาร่วมลงทุนในบริษัททั้ง เซอร์เกย์ บริน (Sergey Brin) และ แลร์รี่ เพจ (Larry Page) สองผู้ก่อตั้งของ Google อดีตซีอีโอีของ eBay อย่าง เจฟ สโกล (Jeff Skoll) ก็เข้ามาร่วมลงทุนด้วย จนในที่สุดในวันที่ 19 กรกฎาคม 2006 บริษัทเทสล่าได้เปิดตัวต้นแบบรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของบริษัท นั่นก็คือ Tesla Roadster ก่อนที่จะจัดจำหน่ายสู่ท้องตลาดตอนปี 2008

อุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกต่างตกตะลึงในความสำเร็จของเทสล่า ซึ่งแม้แต่รองประธานบริษัทจีเอ็มอย่าง บ๊อบ ลัทซ์ (Bob Lutz) ยังให้สัมภาษณ์กับนิตยสารชื่อดังของอเมริกาอย่าง The New Yorker ว่า พวกนักอัจฉริยะทั้งหลายในจีเอ็มต่างบอกกันว่า เทคโนโลยี ลิเธียมไอออน อยู่ห่างออกไปเป็นทศวรรษ และแม้แต่โตโยต้าก็ยังเห็นด้วยกับเรา แล้วจู่ๆเทสล่าก็มาจากไหนก็ไม่รู้ผมก็เลยบอกกับพวกเขาว่า ทำไมจู่ๆบริษัทสตาร์ทอัพเล็กๆในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ทำธุรกิจโดยคนที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับรถยนต์เลย สามารถทำสิ่งนี้ได้ แต่พวกเรากลับทำไม่ได้?”

 

หลังจากที่เทสล่าได้ออกจำหน่ายรถ Tesla Roadster ได้ไม่นาน ทางบริษัทนิสสันก็ออกรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของตนเองออกมาชื่อว่า Nissan Leaf ในปี 2010 ซึ่งมุ่งเป้าหมายไปที่ตลาดระดับกลางมากกว่าเทสล่า ทั้งนิสสันและเทสล่าก็ขับเขี้ยวในการเป็นเบอร์ 1 ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั่วโลก โดยตลาดใหญ่ที่สุดของโลกในรถพลังงานไฟฟ้าอยู่ที่ประเทศนอร์เวย์ ที่รัฐบาลได้ออกมาสนับสนุนการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นอย่างมาก ทั้งจะลดค่าภาษีรถยนต์ถึง 50% อนุญาตให้ใช้ทางเฉพาะรถเมล์ได้ และจอดฟรีบนถนนบางสาย ทำให้กลายเป็นตลาดหลักของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยที่ Nissan Leaf นำเป็นอันดับหนึ่งตามมาด้วย Tesla Model S ในปี 2016 บริษัทเทสล่าได้ออกตัว Tesla Model 3 ที่เริ่มต้นเพียงแค่ 35,000 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1,050,000 บาท เพื่อมาแข่งกับทาง Nissan Leaf เพียงแค่สัปดาห์เดียวหลังจากการเปิดตัว Model 3 สาธารณชนต่างแห่กันจองจนทำให้ยอดจองทะลุ 325,000 คันทะลุสถิติของ Tesla Model S ไปเกินกว่า 3 เท่า

แต่ไม่นานหลังจากนั้นตลาดใหญ่ที่สุดของรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากลับกลายเป็นประเทศยักษ์ใหญ่อย่างประเทศจีน ที่ทางรัฐบาลได้ต่างพากันสนับสนุนบริษัทภายในประเทศให้ทำรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขึ้นมา ทั้ง บีวายดี (BYD) เสี่ยวเผิง (Xpeng) และ นีโอ (NIO) ทำให้ตอนปี 2015 ประเทศจีนเป็นตลาดอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า อันดับ 2 ของโลก ในต้นปี 2020 ที่ผ่านมา Tesla Model 3 ได้แซง Nissan Leaf เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอันดับหนึ่งของโลก และ บริษัทเทสล่าเองก็เป็นบริษัทแรกที่จัดจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้เกิน 1 ล้านคันทั่วโลก

 

แต่ตอนนี้เองคู่แข่งในตลาดเริ่มเข้ามาแย่งตลาดของเทสล่ามากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเมืองจีนที่เริ่มแย่งตลาดจากเทสล่าได้มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง นีโอ (NIO) ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 7% และ เสี่ยวเผิง (Xpeng) ที่มีอยู่ 4% หุ้นของนีโอเติบโตขึ้นมากกว่า 20 เท่า ในเวลาเพียงแค่ 9 เดือนจาก 2.67 เหรียญต่อหุ้นมาเป็น 61.95 เหรียญต่อหุ้น ในขณะเดียวกันหุ้นของเทสล่าเติบโตขึ้นประมาณ 8 เท่าจาก 114.60 เหรียญต่อหุ้นเป็น 846.64 เหรียญต่อหุ้น แต่ตอนนี้นอกจากนีโอ เสี่ยวเผิง และ บีวายดี ยังมีอีกหลายๆบริษัทที่แห่กันจับมือเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้อย่างต่อเนื่องทั้ง แอ๊ปเปิ้ล (Apple) ที่ล่าสุดไปจับมือกับ ฮุนได (Hyundai) เพื่อพัฒนารถ EV ร่วมกัน อเมซอน (Amazon) เปิดตัว Zoox รถยนต์แท็กซี่ไฟฟ้า EV ไร้คนขับ และล่าสุด อาลีบาบา ก็ไปจับมือกับบริษัท SAIC Motors (บริษัทแม่ของ MG) เพื่อเปิดตัวบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของพวกเขาที่มีชื่อว่า IM และ ป๋ายตู้ (Baidu) เสิร์ชเอนจิ้นยักษ์ใหญ่ของจีน ก็ไปจับมือกับ Geely (บริษัทแม่ของ Volvo) เพื่อให้ดีไซน์โครงรถขึ้นมา ส่วนตัวป๋ายตู้จะดูแลเรื่องของซอฟท์แวร์และเทคโนโลยีให้ในรถอีกที

สุดท้ายนี้ผมอยากจบบทความด้วยบทวิเคราะห์จากทาง Deloitte ที่พูดถึงอนาคตของรถ EV ในปี 2030 ว่าจากเดิมที่ยอดขายรถ EV ในปี 2019 จะอยู่ที่ 2 ล้านคันทั่วโลก ในปี 2030 เขาคาดการณ์ว่ารถ EV จะมียอดขายสูงถึง 31 ล้านคันทั่วโลก โดยที่จีนจะมีส่วนแบ่งมากถึง 49% นั่นแปลว่าถ้าสุดท้ายระหว่าง นีโอ หรือ เทสล่าเอง ใครครองตลาดจีนได้ก่อนก็มีหวังจะเป็นอันดับ 1 ต่อไป แต่ในอนาคตผมเชื่อว่าอาจจะไม่วัดกันแล้วว่าใครทำรถยนต์ไฟฟ้าได้หรูกว่ากัน แต่ใครกันที่สามารถทำรถไร้คนขับ หรือ Autonomous Vehicle ได้ก่อนกันแน่ เพราะสุดท้ายแล้วรถ EV ไม่ใช่อนาคตอีกต่อไปแล้วแต่คือปัจจุบัน แต่รถไร้คนขับต่างหากคืออนาคต