เศรษฐกิจสร้างสร้างสรรค์ออกแบบไม่ดีจะทำลาย
เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่หลายหน่วยงานอยากผลักดันให้เกิดขึ้น หากทำได้สำเร็จ โฉมหน้าของเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร?
สิ่งแรกที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมนี้จะตกอยู่กับคนแค่หยิบมือเดียว ซึ่งคงหนีไม่พ้นบริษัทเจ้าพ่อเจ้าแม่วงการบันเทิง บริษัทโฆษณาชื่อดังและบริษัทซอฟต์แวร์ไม่กี่แห่ง ผลประโยชน์ที่ไหลลงไปยังธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และวิสาหกิจชุมชน มีน้อยมาก ลองนึกดูว่าต้องขายผ้าทอพื้นเมืองสักกี่ผืน ถึงจะได้รายได้เท่ากับค่าลิขสิทธิ์หนังสักเรื่องหรือซอฟต์แวร์สักชิ้นหนึ่ง
หากประเมินศักยภาพของการออกไปโต้คลื่นลมในเวทีโลก ธุรกิจขนาดเล็กเหล่านี้ซึ่งอยู่ในระยะตั้งไข่มีโอกาสรอดน้อยเหลือเกิน ยิ่งหากเป็นธุรกิจของชุมชนด้วยแล้ว ต้องเรียกว่าโอกาสคงริบหรี่พอสมควร เพราะตลาดส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาคนในประเทศ และนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับมาอุ่นหนาฝาคั่งเหมือนเดิม
ในแง่ของการจ้างงาน หากบริษัทในอุตสาหกรรมนี้ต้องการจะแข่งขันให้ได้ในระดับนานาชาติ ก็ต้องเฟ้นหาคนที่มีความสามารถระดับยิ่งยวดด้านการสร้างสรรค์มาทำงานด้วย เน้นการใช้เทคโนโลยีมากกว่าคน คนที่มีงานทำจากการเติบโตของเศรษฐกิจสร้างรรค์คิดเป็นสัดส่วนของจำนวนแรงงานทั้งหมดแล้วคงมีน้อยมาก ดังนั้นต่อให้บริษัทเหล่านี้เติบโตแค่ไหน การจ้างงานโดยรวมก็ไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อคนจำนวนหยิบมือเดียวมีรายได้มากขึ้น ในขณะที่คนส่วนที่เหลือของประเทศไม่ได้รับอานิสงค์โดยตรงจากการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ การมาจุติของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ก็เหมือนกับลิ่มที่ถูกตอกลงไปเพื่อขยายช่องว่างระหว่างรายได้ของคนรวยกับคนกลุ่มที่เหลือให้มากขึ้นกว่าเดิม
ความน่ากังวลของเศรษฐกิจสร้างสรรค์อีกเรื่องหนึ่ง คือ เศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ไม่ได้เป็นของจำเป็นเหมือนข้าวปลาอาหาร ในช่วงเศรษฐกิจโลกตกต่ำลากยาวแบบนี้จึงขายออกยาก นอกจากเป็นของดีจริง กระแสรายได้ที่ต่ำจึงทำให้การพัฒนาศักยภาพในระยะยาวเกิดขึ้นได้ยากตามไปด้วย
หากเป็นบริษัทในตลาดหุ้น ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ราคาหุ้นที่ตกฮวบๆ อาจส่งผลกระทบกับบรรยากาศการซื้อขายโดยรวม ทำให้ตลาดหุ้นผันผวนเร็วขึ้น และผันผวนมากกว่าเดิม อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นโดยรวมของนักลงทุนและประชาชนได้
คราวนี้ลองกลับมาตั้งต้น ณ เวลาปัจจุบัน มองไปรอบตัว ประเทศที่เขาออกตัวในเรื่องนี้ก่อนเรา เขาไปกันถึงไหนต่อไหนแล้ว ถ้าต้องการตามเขาให้ทัน คงต้องมีการลงทุนขนานใหญ่ บางทีอาจต้องร่วมทุนกับต่างชาติ หรือซื้อเทคโนโลยีของเขามาใช้ รายจ่ายที่ตามมามีเป็นหางว่าว ส่วนโอกาสประสบความสำเร็จยังไม่รู้ว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน การลงทุนเป็นเรื่องของความเสี่ยงก็จริง แต่ต้องเป็นความเสี่ยงที่ได้รับการประเมินอย่างรอบคอบ ถ้ามีทางเลือกอื่นในการพัฒนาที่เสี่ยงน้อยกว่านี้ มีผลดีต่อคนไทยโดยรวมมากกว่านี้ ก็น่าจะเปิดใจกว้างรับไว้พิจารณาบ้าง
เราต้องไม่ลืมว่าเศรษฐกิจไทยในตอนนี้แบบบิดเบี้ยวอยู่แล้ว ชาวนาชาวไร่ยังคงดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองมีกินมีใช้ ยังอยู่กับเศรษฐกิจภาคเกษตร รอบกรุงเทพกับหัวเมืองใหญ่ คนไทยจำนวนไม่น้อยยังต้องตอกบัตรเข้าไปทำงานในโรงงาน ทำงานในบริษัทเป็นพนักงานประจำทำงานซ้ำซากรายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง ในขณะที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังโลดแล่นอยู่บนคลื่นของเศรษฐกิจยุคดิจิตอล หนำซ้ำตอนนี้ยังโดนโควิด-19 กระแทกกันหัวคะมำอีก
หากเรามุ่งแต่หารายได้โดยไม่ได้มองด้านมิติทางวัฒนธรรมที่เป็นรากเหง้าเดิม จะกลายเป็นการทิ้งตัวตนเพียงเพื่อเอาใจคนอื่น ซึ่งเป็นประเด็นละเอียดอ่อน เราควรกำหนดจุดยืนให้ชัดเจนว่า อะไรคือความเป็นไทยที่ต้องรักษาไว้ อะไรที่ควรปรับ อะไรที่ควรทิ้ง ไม่เช่นนั้น จะกลายเป็นทำอะไรก็ได้เพื่อให้ถูกใจลูกค้า ตกเป็นทาสทางความคิดของเขาโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นสัญชาติไทยแต่ไร้จุดยืน
ดูเหมือนว่าแรงบันดาลใจของนโยบายชุดนี้ส่วนหนึ่งมาจากความคิดของฝรั่งและประเทศในเอเชียบางประเทศที่เขาประสบความสำเร็จมาแล้ว เราสามารถเรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จได้ เพื่อให้เข้าใจว่ากุญแจสำคัญของความสำเร็จคืออะไร แต่ไม่ใช่การหลับหูหลับตาลอกการบ้านของเขาเพียงเพราะเห็นว่าเขาทำแล้วดี
ลองหยุดคิดสักนิดว่าความหมายของ Creative ในภาษาฝรั่งหมายถึงการใช้จินตนาการ ไม่ใช่ลอกเลียนแบบคนอื่น ดังนั้นหากต้องการสร้างครีเอทีฟไทยแลนด์จริง ก็ต้องตีโจทย์ให้แตกว่าจะเอาความเป็นไทยไปต่อยอดยังไงให้เกิดเป็นคุณค่าใหม่ที่แตกต่างจากคู่แข่ง อย่าทำตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร เพราะเครื่องถ่ายเอกสารไม่เคยสร้างสรรค์ผลงานอะไรที่เป็นของตัวเองเลย.