วันสิ้นโลกและ ชาววิไล ในบริบทของทางสองแพร่ง

วันสิ้นโลกและ ชาววิไล ในบริบทของทางสองแพร่ง

วิเคราะห์คำทำนายโบราณเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองไทย ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์กับปฏิทินชาวมายามีส่วนหนึ่งคล้ายกัน

นั่นคือ ทั้งคู่ทิ้งปริศนาไว้ให้คนรุ่นหลังขบคิดว่า อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้การทำนายทำไว้แค่ 10 ยุคและปฏิทินชาวมายาจบลงตรงกับปี ค. ศ. 2012  

ตามตำนานที่เล่าขานต่อ ๆ กันมา คำทำนายมีหลายสำนวนซึ่งใช้ชื่อต่างกันบ้างสำหรับบางยุค แต่จบที่ยุค 10 ชื่อ “ชาววิไล”  การจบแค่นั้นทำให้คนรุ่นหลังคิดกันไปต่าง ๆ นานา เช่น ยุคต่อไปไม่มีเนื่องจากแผ่นดินไทยจะประสบความรุ่งเรืองสูงสุดในรัชกาลที่ 10 และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป ฃ

อาณาจักรมายาตั้งอยู่ในย่านอเมริกากลางซึ่งในปัจจุบันครอบคลุมพื้นที่ในเม็กซิโก เบลิซ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส และเอลซัลวาดอร์  อาณาจักรล่มสลายไปกว่า 1 พันปี 

แต่ในปัจจุบันยังมีร่องรอยของความรุ่งเรืองเหลืออยู่ เช่น พีระมิดขนาดใหญ่ในแนวที่มีอยู่ในอียิปต์ ชาวมายามีความเชี่ยวชาญในด้านความสัมพันธ์ของดวงดาว 

 การที่พวกเขาทำปฏิทินไว้แค่ปี 2012 ทำให้ตีความหมายกันไปต่าง ๆ นานาเช่นกัน 

หนึ่งในนั้นคือ จะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้โลกซึ่งเรารู้จักในปัจจุบันสิ้นสุดลง เช่น ถูกลูกอุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งเข้าชน จนทำให้ชาวโลกและสัตว์ตายเกือบหมด 

การตีความหมายในแนวนี้เป็นที่มาของการสร้างภาพยนตร์เมื่อปี พ. ศ. 2552 เรื่อง “2012 วันสิ้นโลก”

ณ วันนี้ ปี ค. ศ. 2012 ได้ผ่านไปโดยไม่มีเหตุการณ์ใหญ่ในแนวดังกล่าว  การตีความหมายอีกแนวหนี่งจึงมีน้ำหนักมากขึ้น กล่าวคือ ชาวมายาทำไว้แค่นั้น

เนื่องจากมันเป็นปีสุดท้ายในรอบการนับเวลาระยะยาวของเขา ซึ่งรอบหนึ่งอาจเป็นเวลานับ 100 ปี  หลังปี 2012 ผ่านไปก็เริ่มนับ 1 ใหม่ในปี 2013  แต่นั่นอาจเป็นการมองไม่เห็นนัยที่แฝงอยู่ก็ได้

สำหรับเมืองไทย ซึ่งวันนี้อยู่ในยุคชาววิไล เราอาจจะมองว่าการทำนายนั้นไร้สาระ ทั้งนี้เพราะสภาพของสังคมไทยไม่มีอะไรชี้บ่งถึงความรุ่งเรืองใกล้สูงสุด 

จริงอยู่เรายังอยู่ในช่วงต้นของยุค 10 เท่านั้น  อีกไม่นานความสงบสุขโดยทั่วถึงกันจะค่อย ๆ ปรากฏแล้วจะเป็นเช่นนั้นต่อไปอย่างยั่งยืน  แต่มันไม่น่าจะเป็นไปได้เมื่อเรานำเหตุการณ์รอบด้านมาพิจารณาไม่ว่าจะเป็นทางสังคม เศรษฐกิจ หรือการเมือง  แนวโน้มต่าง ๆ ดูจะชี้ไปในทางตรงข้ามมากกว่า  

ด้วยเหตุดังกล่าว เราอาจมองจากมุมของ “ทางสองแพร่ง” อันเป็นกลอนสั้น ๆ ของกวีเอก “โรเบิร์ต ฟรอสต์” ชื่อ The Road Not Taken กล่าวคือ

เราเดินมาถึง ณ จุดหนึ่งซึ่งถนนแยกออกเป็น 2 สาย  ถ้าดูเผิน ๆ อาจไม่ต่างกัน  แต่ถ้าพิจารณาอย่างละเอียดแล้วจะเห็นว่ามันต่างกันมาก  เราต้องเลือก  ผู้เดินทางในกลอนเลือกทางที่ดูจะมีอุปสรรคมากกว่าและแทบไม่มีใครใช้มาก่อน แต่มันพาเขาไปถึงจุดหมายในชีวิต

  เราจะเลือกทางไหนในขณะที่ชาวโลกส่วนใหญ่ได้เลือกถนนสายคล้ายกับที่เดินมาแล้วก่อนปี 2012 นั่นคือ ระบบเศรษฐกิจตามแนวคิดกระแสหลักซึ่งขับเคลื่อนด้วยการบริโภคที่เพิ่มขึ้นแบบไม่มีที่สิ้นสุด 

สำหรับเมืองไทย เราเดินมาบนทางที่คล้ายกับของชาวโลก  แต่เนื่องจากเรามีความมักง่าย ดูดายและฉ้อฉลสูงมาก เราจึงพัฒนาได้ช้ามานาน 

หากเรายังมักง่ายและเลือกทางที่มีความคล้ายกับทางที่เดินมาแล้วพร้อมกับเพิ่มความเข้มข้นของนโยบายประชานิยมแบบเลวร้ายเข้าไป บ้านเมืองเราจะไปไม่รอดแน่นอนส่งผลให้ยุคที่ต่อจาก “ชาววิไล” เป็นยุค “ไทยหัวขาด”  

อย่างไรก็ดี ขณะนี้เรายังพอมีเวลาเลือกทางเดินที่แทบไม่มีใครเลือก นั่นคือ ลดความฉ้อฉล มักง่ายและดูดายอย่างมีนัยสำคัญแล้วเดินไปตามทางแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง

ซึ่งเราชาวไทยดูจะลืมไปหมดแล้วหลังพระองค์ทรงจากไปไม่ถึง 10 ปี  เลือกทางนี้จะมีอุปสรรคมากเนื่องจากเราต้องลดตัณหาและใช้ปัญญาเท่านั้นนำทาง  ถ้าเราทำได้ ต่อจากยุค “ชาววิไล” สังคมไทยจะเป็นยุค “ไทยรุ่งเรือง”