เกษตรกรยุคใหม่: อาชีพทางเลือก (ทางรอด) ในยุคโควิด 19
แรงงานคืนถิ่นที่มีคนรุ่นใหม่หลังโควิด 19 อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ไทยต้องดึดูดแรงงานกลุ่มนี้อยู่เป็นกำลังสำคัญ เพื่อพัฒนาภาคเกษตรในระยะข้างหน้า
จากการสัมภาษณ์ของ ธปท. เพื่อสำรวจแนวทางปรับตัวของแรงงานในยุคโควิด 19 ต่างเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดี หากแรงงานคืนถิ่นเลือกภาคเกษตรเป็นอาชีพ “ทางเลือก ทางรอด” เพื่อปรับไปสู่การเป็น“เกษตรกรยุคใหม่” พร้อมรับโอกาสท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง
“บันได 4 ขั้น” เคล็ดลับการปรับตัวเข้าสู่ภาคเกษตร
สำหรับผู้ไม่มีประสบการณ์ทำเกษตร อาจยังมีข้อจำกัด ความรู้ ความสามารถ และปัจจัยการผลิต ผู้เขียนขอแบ่งปันเคล็ดลับจากเกษตรกรตัวอย่าง “บันได 4 ขั้น” เพื่อปลดล็อกข้อจำกัด โดยการเริ่มต้นด้วยทัศนคติและแรงบันดาลใจที่ดีต่อภาคเกษตร จะช่วยให้ก้าวข้ามข้อจำกัดได้เร็วยิ่งขึ้น
บันไดขั้นแรก “เรียนรู้”และ“ควรคำนึงถึงความอยู่รอดเป็นสำคัญ” เริ่มต้นด้วยการศึกษาเคล็ดลับ และบทเรียนจากผู้อื่นมาลงมือทำด้วยตนเอง “โดยไม่ด่วนตัดสินใจทำอะไรตามกระแส” จะทำให้เกิดประสบการณ์ตรง หากยังมีข้อจำกัดด้านพื้นที่เพาะปลูก อาจเริ่มจากพื้นที่ขนาดเล็ก เงินลงทุนน้อยๆ หรือหากไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง การขอแบ่งเช่าจากญาติพี่น้อง จากเพื่อนบ้าน หรือขอผู้นำชุมชนใช้ประโยชน์ที่ดินสาธารณะถือเป็นทางออกที่น่าสนใจ
บันไดขั้นที่ 2 “พัฒนาทักษะ” เมื่อเรามีความพร้อมในการทำเกษตรแล้ว ควรเลือกตัดสินใจทำในสิ่งที่ตนเองชำนาญ เพื่อยกระดับทักษะฝีมือไปสู่อาชีพหลัก สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง เช่น เลือกปลูกพืช หรือ เลี้ยงสัตว์ที่ตนเองถนัด เป็นต้น
บันไดขั้นที่ 3 “ขยับขยาย” ต่อยอดไปสู่การทำเกษตรเชิงพาณิชย์ โดยใช้เทคโนโลยีร่วมกับการปลูกพืช-เลี้ยงสัตว์ในขนาดปริมาณที่มากขึ้น หรือเน้นที่คุณภาพเพื่อพลิกบทบาทก้าวไปสู่ผู้ประกอบการเกษตร (Agripreneur) ที่มีทั้งความรู้ด้านเกษตร และสามารถวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดได้อย่างเหมาะสม
บันไดขั้นที่ 4 “ยั่งยืน” เมื่อเราสามารถสร้างฐานะจากการทำเกษตรได้แล้ว ควรที่จะวางแผนให้อยู่รอดอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและอำนาจต่อรอง เพิ่มความสามารถในการเข้าถึงตลาดได้ในระยะยาว เช่น การรวมกลุ่มก่อตั้งเป็น “วิสาหกิจชุมชน” เป็นต้น
เกษตรกรยุคใหม่หัวไวใจกล้า “ทำด้วยใจรัก รู้จักใช้เทคโนโลยี” คือ เคล็ดลับความสำเร็จ
บทสรุปที่ได้จากกรณีศึกษา พบว่า ชีวิตเกษตรกรยุคใหม่ บางท่านก็เริ่มจากศูนย์ ไม่มีที่ดินของตนเอง ตัดสินใจขอผู้นำชุมชนใช้ประโยชน์จากพื้นที่รกร้างสาธารณะมาทำเกษตร คุณตั้ม จตุรภัทร เป็นตัวอย่างนี้ ซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกพืชผักสวนครัวขายเลี้ยงชีพ หลังจากที่ชำนาญแล้ว จึงต่อยอดด้วยการทดลอง “ปลูกพืชมูลค่าสูงตามความถนัด” พร้อมกับอัดคลิปสั้นๆ แบ่งปันวิธีปลูกพืชจนเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ชุมชน [FB: จตุรภัทร ฟาร์มสุขปลูกอินทรีย์]
ขณะที่บางท่าน อยากสร้างรายได้หลายช่องทาง คุณปอนด์ จีรพงษ์ เป็นกรณีศึกษานี้ โดยเริ่มทำการเกษตรกับภรรยาตั้งแต่เรียนจบ ด้วยการเลี้ยงสุกร ปลูกเมล่อนในโรงเรือน พร้อมกับทำคลิปเผยแพร่วิธีการทำเกษตรผ่าน youtube มีผู้ติดตามกว่า 246,000 คน ทำให้สามารถเพิ่มช่องทางจำหน่ายมากขึ้นแล้ว และยังมีรายได้เสริมที่ดีจากค่าโฆษณาอีกทางหนึ่ง [FB: ปอนด์ ฟาร์มมิ่งไทยแลนด์]
บางท่านที่มีใจรักเป็นเกษตรกร แต่ก็ยังไม่กล้าเสี่ยงที่จะทุ่มสุดตัว จากกรณีศึกษา คุณกระต่าย วุฒิพงษ์ ที่เริ่มต้นจาก“แบ่งเวลางานประจำ” มาทำเกษตรอินทรีย์ เก็บหอมรอมริบจนสามารถซื้อที่ดินเป็นของตนเอง จึงตัดสินใจลาออกมาทำเต็มเวลา จนสามารถปลูกผักสร้างรายได้ขายให้กลุ่มคนรักสุขภาพ [FB: ไทบ้านฟาร์มเมอร์]
สำหรับแรงงานคืนถิ่นที่ตัดสินใจทำเกษตรเป็นทางรอด อีกตัวอย่าง คุณแม้ว เพียงพิศ เคยเป็นพนักงานในร้านอาหารบนเกาะสมุยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 จนปิดกิจการ จึงต้องกลับมาตั้งหลักที่บ้านเกิดด้วยอาชีพเกษตร และมีโอกาสเข้าร่วมโครงการ “1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย” ของมหาวิทยาลัย ขอนแก่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ทำให้เกิดเป็นไอเดียที่จะขยายทำเป็นโรงเรือนเลี้ยงไก่ระบบปิด แทนแบบเดิมที่เป็นเลี้ยงไก่ปล่อยตามธรรมชาติ
การสนับสนุนภาครัฐอย่างต่อเนื่องในช่วงเริ่มต้นเป็นสิ่งสำคัญ
นอกจากเคล็ดลับในการทำเกษตรแล้ว หากภาครัฐยื่นมือช่วยเหลือเกษตรกรป้ายแดง เสริมจุดแข็ง ปิดจุดอ่อน เป็นต้นว่า การสร้างตลาดดีๆ มารองรับผลผลิตในระยะแรก โดยสนับสนุนให้หน่วยราชการ โรงเรียน โรงพยาบาล หรือเรือนจำ มีระเบียบจัดซื้อสินค้าเกษตรไปประกอบอาหาร จากนั้นก็ส่งเสริมให้เรียนรู้วิธีสร้างช่องทางการขาย เช่น การตลาดออนไลน์ และออฟไลน์ ควบคู่ไปกับการถ่ายทอดเคล็ดลับดีๆ ในการทำเกษตรแบบง่าย เพื่อเป็นทางลัดความสำเร็จ “เหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ฉีกซองเติมน้ำร้อนก็รับประทานได้เลย”
หากปล่อยให้ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง อาจจะทำให้หมดกำลังใจ รัฐควรช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้สุดทาง “การปล่อยเต่าต้องปล่อยให้ถึงหนอง” เนื่องจากหลายโครงการยังมีการรับรู้ในวงแคบและขาดความต่อเนื่อง เกษตรกรกำลังเรียนรู้ได้ดี แต่ยังไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ โครงการก็หมดระยะเวลา
และท้ายสุด ปัจจัยสำคัญยิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ แหล่งน้ำ “ลมหายใจของเกษตรกร” รัฐควรช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งน้ำมากที่สุด โดยการช่วยขุดสระน้ำ “บ่อจิ๋ว” หรือขุดลอกลำห้วยเป็นช่วงๆ แบบ “หลุมขนมครก” และวางแผนจัดการน้ำแบบครบวงจร.
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
บทความโดย นายพิทูร ชมสุข
น.ส. จิราภรณ์ พินนาพิเชษฐ
น.ส. เพชรลักษณ์ บุญญาคุณากร
ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)