'แผลเป็น'ทางเศรษฐกิจ

'แผลเป็น'ทางเศรษฐกิจ

ในรอบ 10-20 ปี มีคำในภาษาอังกฤษที่ใช้กึ่งวิชาการกันมากอยู่หลายคำ   หนึ่งในคำเหล่านี้คือ economic scars (แผลเป็นทางเศรษฐกิจ)

                            economic scars หรือแผลเป็นทางเศรษฐกิจ สื่อความหมายได้เป็นอย่างดีถึงบางสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตหรือวันนี้ที่มีลักษณะคล้ายแผลเป็นซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะปานกลางและยาว

​                              sandbox (กล่องทราย) มีที่มาจากกองทรายนอกบ้านที่กันไว้เป็นคอกให้เด็กฝรั่งเล่นตามจินตนาการ     ความหมายของมันก็คือการทดลองในขอบเขตหนึ่งแล้วจึงขยายออกไปดังเช่นการทดลองหลักสูตร และวิธีการสอนแบบใหม่ในเขตนวตกรรมการศึกษาในหลายจังหวัดในปัจจุบัน

​                              pain point หมายถึงสิ่งที่เป็นปัญหาปวดหัวที่เกิดขึ้นอยู่ซ้ำซาก เช่น   pain point ของสังคมไทยก็คือการขาดวินัยของประชาชน หรือ pain point ของบริษัทหนึ่งคือคุณภาพของการให้บริการ  อีกคำคือ way forward หมายถึงนโยบายหรือการกระทำเฉพาะอย่างที่เชื่อว่าจะนำไปสู่ความสำเร็จ   เช่น   การมีกิริยามารยาทเป็น way forward 

​                              คราวนี้กลับมาที่เรื่อง scars หรือแผลเป็น  การมีแผลเป็นในบางลักษณะอาจนำไปสู่ความสามารถที่ลดลงในการหารายได้หรือการยืนบนขาตัวเองได้อย่างดีในอนาคต  เช่น  เด็กสาวหน้าสวยเกิดมีรอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ   หรือถูกกระทบทางสมองอย่างรุนแรงตอนเป็นเด็ก  หรือมีแผลฉกรรจ์ที่บริเวณเข่าตอนเป็นดาราฟุตบอลอายุน้อย   ทั้งหมดนี้เป็นแผลเป็นที่จะทำให้ศักยภาพในอนาคตลดลง

​                              ในทางเศรษฐกิจก็เช่นกัน  แผลเป็นจะทำให้ศักยภาพในการผลิตของประเทศมีปัญหาหรือลดลงในอนาคตซึ่งหมายถึงความสามารถในการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคตมีแนวโน้มลดลง

​                              ในแต่ละประเทศนั้นประชาชนล้วนมีความต้องการที่จะบริโภคสินค้าและบริการอย่างไม่จำกัด   ประเทศใดมีความสามารถในการผลิตเพื่อชดเชยความต้องการของสมาชิกได้มากเท่าใดก็กล่าวได้หยาบ ๆ ว่ามีความกินดีอยู่ดีเพียงนั้น

​                              GDP คือมูลค่าสินค้าและบริการที่แต่ละประเทศผลิตได้ในเวลาหนึ่งปีซึ่งเท่ากับรายได้รวมของคนทั้งประเทศในเวลาหนึ่งปี      ถ้าเอาจำนวนประชากรไปหาร GDP ก็จะได้รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี    ซึ่งคร่าว ๆ ก็คือตัววัดความกินดีอยู่ดี      หากรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงขึ้นก็หมายถึงมีความกินดีอยู่ดีสูงขึ้น    ขนาดของ GDP หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขนาดของเศรษฐกิจซึ่งเป็นผลพวงจากศักยภาพของการผลิตจึงต้องจำเป็นต้องขยาย (มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ) เพื่อให้ตัวเลขจากผลหารหรือรายได้เฉลี่ยตัวหัวเพิ่มขึ้นเสมอ

​                              เมื่อกลไกมันเป็นดังนี้     ศักยภาพของการขยายตัวของเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญ      หากมีสิ่งใดไปกระทบจนเกิดเป็นปัญหาหรือทำให้มันมีศักยภาพลดลงในระยะกลางและยาว     ความกินดีอยู่ดีของประชาชนหรือระดับของรายได้เฉลี่ยต่อหัวในอนาคตก็จะขยับขึ้นได้ช้าหรือเกิดมีขีดจำกัดขึ้น      ดังนั้นคำว่าแผลเป็นทางเศรษฐกิจหรือ economic scars จึงถูกบัญญัติขึ้น เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าว

​​                              ตัวอย่างของ economic scars มีดังนี้   (1)  เมื่อเศรษฐกิจหยุดชะงักดังเช่นกรณีของการระบาดโควิด-19   ก็เกิดการว่างงานขึ้น    หากแรงงานไม่มีงานทำนานเกินไปก็จะเกิดแผลเป็นขึ้น  กล่าวคือเมื่อกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานอีกครั้งก็อาจปรับตัวไม่ทันกับทักษะใหม่ ๆ ที่จำเป็นต้องใช้และ หากเกิดอย่างกว้างขวางก็จะมีผลกระทบต่อศักยภาพการผลิตในอนาคตได้    (2)  หากไม่มีการลงทุนใหม่ในประเทศเป็นเวลานาน    เครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิตที่มีอยู่ก็จะมีอายุมากขึ้น      เสื่อมประสิทธิภาพในการทำงาน   ไม่ทันกับการผลิตสมัยใหม่จนทำให้กระทบต่อศักยภาพในการผลิต

​                              (3)  หากธุรกิจ SME’s จำนวนมากปิดตัวลงเช่นในภาคท่องเที่ยวดังที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน    เจ้าของเลิกกิจการหรือหันไปประกอบธุรกิจอื่นในขณะที่แรงงานย้ายไปภาคอื่น     เมื่อธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว      SME’s ท่องเที่ยวเดิมก็ไม่สามารถกลับมาทำงานรับใช้ภาคการท่องเที่ยวได้ทันเวลาจนอาจกระทบต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคตได้  (4)  หากสุขภาพเฉลี่ยของประชาชนทั้งประเทศเกิดเลวร้ายลง กินหวานกินเค็ม    กินมันเกินสมควร     อีกทั้งมีพฤติกรรมอันก่อให้เกิดโรค NCD’s (เบาหวาน      โรคหัวใจ      มะเร็ง      ทางเดินหายใจเรื้อรัง   หลอดเลือดสมอง    โรคอ้วน        ไตเรื้อรัง)   ศักยภาพการผลิตของประเทศก็มีปัญหา

​                              (5)  การเคยชินกับกิจการอื่นที่ไม่ใช่การผลิตก็เป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มศักยภาพการผลิตได้ดังเช่นกรณีของเวียดนามซึ่งผ่านสงครามต่อเนื่องยาวนานถึง 28 ปี (รบกับฝรั่งเศส    8 ปี และกับสหรัฐอเมริกา 20 ปี)     เมื่อชนะสงครามและรวมประเทศได้ในปี 1975      แต่กว่าจะตั้งตัวเดินหน้าทางเศรษฐกิจได้ก็ต้องใช้เวลาถึง 30 ปี   เพราะต้องใช้เวลานานจึงสามารถขจัดความเคยชินกับการถือปืนมาเป็นถือจอบหรือกดปุ่มในโรงงาน      การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจขนานใหญ่จึงสามารถเกิดขึ้นได้

​                              (6)  การเคยชินกับการอยู่ในระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมมาเป็นเวลานาน     ทำให้เกิดแผลเป็นจนทำให้การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจภายใต้ระบบทุนนิยมที่หันมายึดถือใหม่เป็นไปอย่างเชื่องช้า   ตัวอย่างได้แก่รัสเซียและประเทศเกิดใหม่จำนวนมากซึ่งเคยเป็นรัฐของสหภาพโซเวียตก่อน ค.ศ. 1991      ประเทศเหล่านี้เป็นผลพวงของแผลเป็นจากระบบเก่าที่ขาดประสิทธิภาพในการผลิตซึ่งรัฐบาลเป็นผู้สั่งการแทนกลไกตลาด

​                              แผลเป็นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แต่สามารถแก้ไขได้ (แม้จะเป็นแผลเป็นน่าเกลียดชนิดที่เรียกว่าคีลอยด์ก็ตาม)      ตราบใดที่ตระหนักว่ามีแผลเป็นและพยายามมุ่งมั่นแก้ไขโดยเร็ว   ไม่ปล่อยไว้ให้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของศักยภาพการผลิตในอนาคต    ต้องทำให้อดีตเป็นอดีต     อย่าให้มันมีผลกระทบถึงอนาคตแบบถาวร

​                              ในหนังสือชื่อ The Light in the Heart(2020)   ซึ่งเป็นหนังสือดังระดับโลกในการปลุกเร้าให้เกิดพลังใจของ Roy T. Bennett     เขาบอกว่า “Do not let the memoires of your past limit the potential of your future. (อย่ายอมให้ความทรงจำของอดีตมาจำกัดศักยภาพของอนาคตคุณ)”.