สุขภาพจิตคนไทยวันนี้ เครียด! หวั่น "โควิด" ระบาดระลอกใหม่ มากกว่ากลัวติดเชื้อ
เปิดมุมมอง สะท้อนผลสำรวจประชาชน "สุขภาพจิตคนไทยวันนี้" เครียด! หวั่น "โควิด" ระบาดระลอกใหม่ มากกว่ากลัวติดเชื้อ
รัฐบาลประกาศเดินหน้า เปิดพื้นที่ท่องเที่ยวเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ได้แก่ กรุงเทพมหานคร หรือ กทม. , จังหวัดเชียงใหม่ (อ.เมือง อ.แม่ริม อ.แม่แตง อ.ดอยเต่า) , จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (อ.หัวหิน) , จังหวัดเพชรบุรี (อ.ชะอำ) และจังหวัดชลบุรี (เมืองพัทยา อ.บางละมุง อ.สัตหีบ)
โดยอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า จังหวัดที่กำหนดไว้จะต้องไม่พบการติดเชื้อโควิดใหม่ ที่เป็นคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ และมีความรุนแรงจนสร้างความกังวลสูงอีกรอบ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ เพราะแม้นักท่องเที่ยวต่างชาติ จะนิยมเดินทางไปเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวทะเลหรือภูเขาของประเทศไทย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเดินทางมาเที่ยวกรุงเทพฯ ก่อนอย่างน้อยหนึ่งรอบอยู่แล้ว
(อ่านข่าว - เตรียมเปิด "กรุงเทพฯ" และ 4 จว. รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เริ่ม 1 พ.ย.นี้)
ก่อนหน้านี้ คงทราบกันดีแล้วว่า รัฐบาลคลายล็อกมาตรการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19ระบาด หลังการติดเชื้อในประเทศเริ่มลดลงบ้าง ท่ามกลางความหวังการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว จะพลิกโฉมการท่องเที่ยวไทย สู่การกระจายรายได้สู่ชุมชน และรักษาการจ้างงาน และฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศจากสถานการณ์โควิด-19 ไปด้วยกัน
ผู้เขียนเอง หวังเช่นกันว่า สถานการณ์โควิด-19ระบาดลดลงจริง และการเปิดประเทศ ด้วยมาตรการดูแลป้องกันแพร่เชื้อ ก้าวพร้อมมาตรการสร้างโอกาสกระจายรายได้ด้วยการท่องเที่ยว
แต่ก็มีประเด็นอยู่เหมือนกันว่า หากเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวดังที่กล่าวข้างต้น ความวิตกกังวลการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ถือเป็นความเสี่ยงที่ต้องรับมือด้วย
ล่าสุดวันนี้ (9 ต.ค. 64) กรุงเทพโพลล์ โดยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เผยสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง “สุขภาพจิตคนไทยวันนี้ เป็นอย่างไร” เนื่องในวันที่ 10 ตุลาคมของทุกปีเป็นวันสุขภาพจิตโลก โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนทั่วประเทศ พบว่า
เรื่องที่ทำให้สุขภาพจิตแย่ ทำให้เครียด วิตกกังวลมากที่สุด ในปีนี้พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 51.6 กลัวโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ , รองลงมาร้อยละ 44.9 กลัวติดโควิด-19 , ร้อยละ 43.1 รายได้ไม่พอจ่าย เป็นหนี้เป็นสิน และร้อยละ 31.7 ปัญหาการเรียน ลูกหลานเรียนช้า คุณภาพการศึกษา
เมื่อถามว่า “ในภาพรวม สุขภาพจิต ความเครียด ความวิตกกังวล เป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา” พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 50.2 เห็นว่าแย่กว่าเดิม ส่วนร้อยละ 41.9 เห็นว่าเหมือนเดิม ขณะที่ร้อยละ 7.9 เห็นว่าดีกว่าเดิม
ส่วนกิจกรรมที่ทำเพื่อคลายความเครียด ความวิตกกังวล หลังมาตรการผ่อนคลายของ ศบค. ที่ผ่านมาพบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 22.9 ไปเล่นกีฬา วิ่งออกกำลังกายในสวนสาธารณะต่างๆ รองลงมาร้อยละ 17.2 ไปเดินเล่น ช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า และร้อยละ 16.0 ไปเสริมสวย ทำเล็บ ตัดผม ขณะที่ร้อยละ 44.9 อยู่บ้านไม่ไปไหน กลัวติดโควิด-19
และสุดท้ายถามว่าปัจจุบันท่านปรับตัวในการใช้ชีวิตกับสถานการณ์ของโควิด-19 ได้มากน้อยเพียงใดพบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 91.1 ปรับตัวได้ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ขณะที่ร้อยละ 8.9 ปรับตัวได้ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด
ผู้เขียนเห็นว่า ความวิตกกังวลของคนไทยจากผลโพลที่ปรากฎ สะท้อนว่า คนไทยจำนวนมากยังไม่มั่นใจต่อการรับมือของรัฐในการควบคุมดูแลไม่ให้ "โควิด-19" กลับมาระบาดใหญ่ เหมือน 2-3 ระลอกก่อนหน้านี้
ท่ามกลางการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐเพื่อดูแลประชาชนจากผลกระทบล็อกดาวน์เพื่อจำกัดการกระจายเชื้อ ทำให้มีคนตกงานและว่างงาน ซึ่งทุ่มงบประมาณทั้งเงินงบฯประจำปีและกู้เงิน ซึ่งมีการเพิ่มเพดานหนี้ในการรองรับมาตรการในอนาคตอีกด้วย
ความเครียดและความรู้สึกแย่กว่าเดิมของคนไทย คือความไม่มั่นใจว่ารัฐจะมีหลักประกันอะไรบ้าง หากเปิดประเทศจะรับมือไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ได้อย่างไร เนื่องจากการจัดการปัญหาช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ประชาชนคงเห็นปัญหาการทำงานของรัฐบาลที่ยังไม่เป็นเอกภาพเท่าที่ควร
ดังนั้น ความเชื่อมั่นรัฐบาล ต้องสื่อสารโดยเร็ว ทำให้ประชาชนรับรู้เพื่อเปลี่ยนความเครียดและความรู้สึกแย่ ก่อนเปิดประเทศ คือสิ่งสำคัญยิ่ง.