โลกกำลังเข้าสู่ สงครามแย่งชิงทรัพยากร "แร่หายาก"

โลกกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงพลังงานที่สำคัญที่สุด นับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่ “พลังงานสะอาด”
การเปลี่ยนผ่านไปสู่ “พลังงานสะอาด” ไม่ได้หมายถึง การสิ้นสุดของความขัดแย้ง แต่กลับทำให้เกิดยุคใหม่ของ “สงครามแย่งชิงทรัพยากร” โดยเฉพาะโลหะหายาก เช่น ลิเธียม ทองแดง โคบอลต์ และแร่หายาก (Rare Earth Elements) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ และเทคโนโลยีสีเขียว รวมถึงเศรษฐกิจดิจิทัล
เช่นเดียวกับที่สงครามน้ำมันในศตวรรษที่ 20 เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดภูมิรัฐศาสตร์โลก สงครามแร่หายากในศตวรรษที่ 21 กำลังจะกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ประเทศจีน สหรัฐ รัสเซีย และอินเดีย กำลังแข่งขันกันเพื่อควบคุมห่วงโซ่อุปทานของแร่หายาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและการเมืองในอนาคต
ในหนังสือ “The War Below: Lithium, Copper, and the Global Battle to Power Our Lives” ของ Ernest Scheyder
เผยให้เห็นว่าจีนเป็นผู้เล่นหลักในสงครามแร่หายาก ควบคุมการผลิตและแปรรูปแร่หายากกว่า 80% ของอุปทานโลก เริ่มสร้างอุตสาหกรรมที่ใช้แร่หายากตั้งแต่ปี 2528 และขยายตัวอย่างรวดเร็วในทศวรรษ 1990-2000 จนกลายเป็นมหาอำนาจที่ใช้แร่หายากเป็นเครื่องมือเศรษฐกิจและการเมือง
ในปี 2553 จีนจำกัดการส่งออกแร่หายากไปยังญี่ปุ่นระหว่างข้อพิพาทหมู่เกาะเซนกากุ (หรือจีนเรียกว่าเตียวหยู) ส่งผลให้สหรัฐและยุโรปเริ่มวิตกกังวลต่อการพึ่งพาจีนนับตั้งแต่นั้นมา
ส่วนของสหรัฐแม้จะมีแหล่งแร่หายาก เช่น เหมือง Mountain Pass ในแคลิฟอร์เนีย แต่ประเทศก็ขาดโรงงานแปรรูป ทำให้ต้องส่งออกแร่ไปแปรรูปที่จีน ซึ่งกลายเป็นปัญหาความมั่นคงแห่งชาติ
รัฐบาลไบเดนให้เงินทุนสนับสนุนโครงการเหมืองและโรงงานแปรรูปในประเทศ พร้อมลงทุนในเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่เพื่อลดการขุดแร่ใหม่ อย่างไรก็ตาม นโยบายเหมืองแร่ในสหรัฐเผชิญอุปสรรคจากกฎหมายสิ่งแวดล้อมและแรงต้านจากชุมชน
ในยุคทรัมป์ สหรัฐดำเนินนโยบายเชิงรุกเพื่อลดการพึ่งพาจีน ล่าสุดมีการเจรจากับยูเครนเพื่อเข้าถึงแร่หายากแลกกับความช่วยเหลือทางทหารในสงครามรัสเซียกับยูเครน รวมถึงมีแผนสร้างโรงงานถลุงแร่ในฐานทัพกระทรวงกลาโหม เพื่อสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรสำคัญ
ในละตินอเมริกา มีประเทศที่เรียกกันว่า “สามเหลี่ยมลิเธียม” (Lithium Triangle) ประกอบด้วยอาร์เจนตินา โบลิเวีย ชิลี ซึ่งถือครองลิเธียมมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก ทำให้กลายเป็นสมรภูมิสำคัญระหว่างจีน สหรัฐและยุโรป
เพื่อตอบสนองความต้องการแบตเตอรี่ EV เมื่อปี 2566 ชิลีประกาศควบคุมอุตสาหกรรมลิเธียมเพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติ ขณะเดียวกัน จีนขยายอิทธิพลผ่านการเข้าซื้อเหมืองและโรงงานแปรรูป สร้างความกังวลว่าตะวันตกอาจเผชิญความเสี่ยงหากจีนควบคุมซัพพลายเชนลิเธียมได้สำเร็จ
ด้วยความต้องการโลหะหายากที่เพิ่มขึ้น บริษัทต่างๆ หันไปสู่ “การขุดแร่ใต้ทะเล” เช่น บริษัท The Metals Co. ที่พยายามขุดนิกเกิล โคบอลต์ และทองแดงจากมหาสมุทรแปซิฟิก
แม้ได้รับการสนับสนุนจากบางประเทศแต่ก็ถูกต่อต้านจากนักอนุรักษ์ที่กังวลเรื่องผลกระทบต่อระบบนิเวศ
ในอนาคต การแข่งขันเพื่อขุดแร่ในมหาสมุทรอาจกลายเป็นประเด็นร้อนระดับโลกและจุดชนวนข้อพิพาทด้านสิทธิ์การเข้าถึงทรัพยากรทางทะเล
ไม่เพียงแต่ประเทศต่างๆ ที่แข่งขันกันเพื่อครอบครองแร่หายาก บริษัทข้ามชาติอย่าง Tesla, Apple, และ General Motors ก็มีบทบาทสำคัญในการแย่งชิงทรัพยากรเพื่อรับประกันว่าบริษัทจะไม่หยุดชะงัก
Elon Musk เคยกล่าวไว้ว่าหากการขุดแร่ลิเธียมกลายเป็นปัจจัยจำกัด Tesla อาจพิจารณาลงทุนในเหมืองแร่เอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้แต่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ก็เริ่มหันมาควบคุมซัพพลายเชนของตัวเอง
บริษัทเหมืองแร่ยักษ์ใหญ่อย่าง Glencore และ BHP ก็แข่งขันกันเพื่อซื้อกิจการเหมืองแร่ลิเธียม โคบอลต์ และทองแดงทั่วโลก โดยเฉพาะในแอฟริกาและอเมริกาใต้
การเคลื่อนไหวเชิงรุกของบริษัทเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่แน่นอนต่อประเทศเจ้าของทรัพยากร ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อพิพาทเรื่องสิทธิ์การครอบครองทรัพยากรระหว่างรัฐบาลและบริษัทเอกชน
เพื่อลดความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อม นักวิทยาศาสตร์และบริษัทเทคโนโลยีกำลังพัฒนาวิธีจัดหาวัสดุพลังงานสะอาด
เช่น Biomining ใช้จุลินทรีย์สกัดแร่จากดิน ลดความจำเป็นในการทำเหมืองขนาดใหญ่ การรีไซเคิลแบตเตอรี่ โดยบริษัทอย่าง Redwood Materials และ Li-Cycle ช่วยนำลิเธียม นิกเกิล และโคบอลต์กลับมาใช้ใหม่
การขุดแร่จากอวกาศ ซึ่ง NASA และ Planetary Resources กำลังศึกษา เหล่านี้อาจเป็นทางเลือกใหม่ในอนาคต อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นพัฒนาและต้องใช้เวลาอีกหลายทศวรรษกว่าจะคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
แม้ความขัดแย้งเรื่องแร่หายากจะเป็นประเด็นเศรษฐกิจและการค้า แต่ก็อาจนำไปสู่ข้อพิพาททางทหาร เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) ที่กลุ่มติดอาวุธแย่งชิงแหล่งโคบอลต์เพื่อเป็นทุนสู้รบ หรือทะเลจีนใต้ที่จีนมุ่งขุดแร่ใต้น้ำ กระตุ้นความตึงเครียดกับประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ “Lithium Triangle” (ชิลี อาร์เจนตินา โบลิเวีย) พยายามจำกัดอิทธิพลต่างชาติในอุตสาหกรรมลิเธียม ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อพิพาทกับบริษัทข้ามชาติ
การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด แม้จะช่วยลดก๊าซเรือนกระจก แต่หากขาดความเป็นธรรมและยั่งยืน ก็อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นได้
ประเทศไทยที่ต้องพึ่งพาแร่หายากเพื่ออุตสาหกรรมสะอาดและดิจิทัล ในอนาคตก็จำเป็นต้องกระจายห่วงโซ่อุปทานเช่นกัน โดยลดการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่ง เร่งพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิล และยกระดับมาตรฐานเหมืองแร่ยั่งยืน
ท้ายที่สุด สงครามทรัพยากรอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ประเทศและบริษัทที่สร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมจะได้เปรียบในยุคพลังงานหมุนเวียนนี้