ทรัมป์ ‘ขุดแร่กรีนแลนด์’ ได้ไม่คุ้มเสีย? สภาพอันโหดร้าย -19°C ไร้ถนนเชื่อมต่อ

แม้ ‘กรีนแลนด์’ ซ่อนแร่อันล้ำค่าไว้ใต้ผืนน้ำแข็ง จนปธน.ทรัมป์ต้องการครอบครองอย่างมาก แต่การขุดแร่กลับเต็มไปด้วยอุปสรรค สภาพแวดล้อมอันหฤโหดสุดขั้ว การขาดแคลนถนนเชื่อม จนต้องขนทางอากาศหรือทะเลแทน ยังไม่นับรวมความเสียหายต่อระบบนิเวศ และวิถีชีวิตชนพื้นเมือง จนอาจได้ไม่คุ้มเสีย
KEY
POINTS
- บนพื้นที่กรีนแลนด์ราว 80% ถู
ใน “ภาพฝัน” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นอกจากแคนาดาแล้ว ทรัมป์ยังต้องการ “เกาะกรีนแลนด์” ด้วย ซึ่งใหญ่กว่าประเทศไทยเสียอีก โดยไทยมีพื้นที่ราว 5 แสนตารางกิโลเมตร ขณะที่กรีนแลนด์ใหญ่ถึง 2 ล้านตารางกิโลเมตร เกาะแห่งนี้อุดมไปด้วย “แร่หายาก” จำนวนมากที่ชิป อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แบตเตอรี่อีวี จนถึงขีปนาวุธขาดไม่ได้
ทรัมป์ได้กล่าวต่อหน้าเลขาธิการนาโตแบบตรงไปตรงมาว่า “สหรัฐต้องการกรีนแลนด์!” และยังย้ำถึงเกาะนี้ในวันแถลงนโยบายต่อหน้าสภาคองเกรส สะท้อนถึงความจริงจังที่ต้องการเกาะแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม หากสหรัฐได้สิทธิทำเหมืองกรีนแลนด์จริง การขุดแร่ก็มาพร้อมเรื่องท้าทายหลายประการ จนอาจ “ได้ไม่คุ้มเสีย” ดังนี้
อากาศหนาวเหน็บอันหฤโหด
บนพื้นที่กรีนแลนด์ราว 80% ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง อากาศหนาวระดับขั้นรุนแรง โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ราว -19 องศาเซลเซียส นั่นเป็นเพราะอยู่แถบขั้วโลกอาร์กติก ด้วยเหตุนี้ การทำเหมืองแร่จึงเต็มไปด้วยอุปสรรคกองน้ำแข็งที่กีดขวางเส้นทาง ไปจนถึงทางเข้าเหมืองก็ถูกปิดกั้นด้วยกองหิมะ
ยังไม่นับรวมทัศนวิสัยที่ขาวโพลนไปหมด พร้อมลมหิมะอันหนาวยะเยือกแทบจับขั้วหัวใจ โหมพัดเข้ามาอย่างไม่ปรานี
Energy Transition Minerals บริษัทออสเตรเลียซึ่งมาทำเหมืองที่กรีนแลนด์นี้เผยว่า การเข้าถึงแร่ เป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง
ในบริเวณ “Kvanefjeld” ซึ่งเป็นที่ตั้งหินหนืดที่แข็งตัวมานานกว่าพันล้านปี บนเทือกเขาเหนือของเมือง Narsaq ของกรีนแลนด์ มีแร่ธาตุสูงราว 1 พันล้านตัน ซึ่งเพียงพอที่จะพลิกโฉมตลาดโลก
เพื่อชม Kvanefjeld อย่างใกล้ชิด ผู้สื่อข่าวและช่างภาพจากวอลล์สตรีทเจอร์นัลจึงได้ขี่รถสโนว์โมบิล ฝ่าช่องเขาที่ไร้เส้นทางใต้ที่ราบน้ำแข็ง ขณะที่สายลมก็พัดพาหิมะให้ฟุ้งลอยเหนือสันเขา หลังจากเดินทางสู่หุบเขาราว 45 นาที ไกด์ท้องถิ่นได้ชี้ไปที่ “ทางเข้าเหมือง” ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปบนไหล่เขาประมาณ 45 เมตร ปรากฏว่าถูกซ่อนอยู่หลังม่านหิมะ “หนาหลายฟุต”
“การลงทุนในกรีนแลนด์ไม่เหมาะกับคนขวัญอ่อน” ไบรอัน แฮนราฮาน ซีอีโอของบริษัท Lumina Sustainable Materials ซึ่งทำเหมืองแร่อะนอร์โธไซต์บนชายฝั่งตะวันตกของกรีนแลนด์กล่าว
ขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน
ในการขุดแร่กรีนแลนด์ ไม่ได้หมายความว่ามีเครื่องมือทันสมัย พร้อมบุคลากรแล้ว จะสามารถขุดแร่ได้ทันที แต่ต้อง “วางโครงสร้างใหม่ตั้งแต่ต้น” ในพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดาร ทำให้การลงทุนเริ่มแรกมีค่าใช้จ่ายสูงมาก
ไม่เพียงเท่านั้น บนพื้นที่มหึมาซึ่งส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง แม้กรีนแลนด์มีขนาดราว 22% ของสหรัฐ แต่ 80% ของพื้นที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง มีร่องลึกและแผ่นน้ำแข็งหนา ทำให้การก่อสร้างและการขนส่งเป็นไปได้ยาก
ด้วยความที่กรีนแลนด์ไม่มีถนนเชื่อมระหว่างชุมชน หมายความว่า การขนส่งอาจต้องทำโดยทางอากาศหรือทางทะเล โดยการที่มีน้ำแข็งลอยอยู่ตามชายฝั่ง ทำให้การขนส่งทางทะเลค่อนข้างมีความเสี่ยง และคาดการณ์ได้ยาก
สำหรับแฮนราฮาน เขาเคยเป็นรองประธานของ Imerys บริษัทเหมืองแร่ฝรั่งเศส ซึ่งดูแลเหมือง 270 แห่งใน 70 ประเทศทั่วโลกเผยว่า “ไม่มีที่ไหนซับซ้อนเท่ากรีนแลนด์ การจัดการที่นี่เพียงสถานที่เดียว ยัง ‘ท้าทายกว่า’ การจัดการหลายสิบแห่งของที่อื่นรวมกันเสียอีก”
ด้วยเหตุนี้ แม้จะอุดมไปด้วยแร่ธาตุมหาศาล แต่กรีนแลนด์มี “เหมืองที่ยังดำเนินงาน” อยู่เพียง “สองแห่ง” ได้แก่ เหมืองทองคำที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นดำเนินการ และเหมืองที่ผลิตหินอะนอร์โธไซต์ ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมไฟเบอร์กลาส สี และวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ ขณะที่เหมืองพลอยทับทิมต้องปิดตัวลงเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากล้มละลาย โดยในปัจจุบัน กรีนแลนด์ได้ออกใบอนุญาตทำเหมืองประมาณ 100 ฉบับ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นใบอนุญาตสำรวจแร่
อุปสรรคเหล่านี้ ทำให้การทำเหมืองในกรีนแลนด์เป็นเรื่องที่ซับซ้อน มีต้นทุนสูง และมีความเสี่ยง จนเหล่านักลงทุนลังเล แม้จะมีทรัพยากรแร่มหาศาลในประเทศก็ตาม
ยังไม่นับรวมจำนวนประชากรเกาะเพียง 57,000 คน ทำให้การหาแรงงานท้องถิ่นค่อนข้างท้าทาย และจำเป็นต้องพึ่งกำลังคนเพิ่มจากต่างประเทศ
แรงต้านด้านสิ่งแวดล้อม
ทุกครั้งที่ขุดแร่ จะก่อมลพิษทางสิ่งแวดล้อมตามมาด้วย และนี่อาจทำให้กรีนแลนด์ไม่ใช่เกาะน้ำแข็งอันสงบอีกต่อไป โดยเฉพาะการขุดแร่หายาก มีการปล่อยโลหะหนัก และสารมลพิษอื่น ๆ ระหว่างการทำเหมือง นำไปสู่การทำลายพืชพรรณ การปนเปื้อนของน้ำผิวดิน น้ำใต้ดิน และพื้นที่การเกษตร โดยในระหว่างการขุด จะมีการใช้สารกัดกร่อนอย่าง “แอมโมเนียมซัลเฟต” เพื่อใช้เป็นสารสกัดแร่ ให้ตกตะกอนเป็นแร่หายาก
ย้อนไปในปี 2007 บริษัทเหมือง Energy Transition Minerals ได้รับใบอนุญาตให้สำรวจแร่ธาตุในแถบ Kvanefjeld จากรัฐบาลกรีนแลนด์ ซึ่งมองว่าการทำเหมืองช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่ต่อมา รัฐบาลได้ผ่านกฎหมายห้ามทำเหมืองแร่ยูเรเนียม เพราะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จนทำให้โครงการนี้หยุดชะงักไป
ด้านบริษัทเหมืองดังกล่าวอ้างว่า จะจ้างงาน 1,000 คนในช่วงก่อสร้างเหมือง และ 400 คนในช่วงการดำเนินงาน ซึ่งจะต้องใช้แรงงานจากส่วนอื่น ๆ ของกรีนแลนด์ และอาจรวมถึงจากต่างประเทศด้วย หลังจากการระเบิดเพื่อขุดเหมือง บริษัทจะขยายถนนเข้าสู่ภูเขา และสร้างท่าเรือเพื่อขนแร่ส่งออก
บริษัทฯยังเสนอการเก็บ “สารปนเปื้อนกัมมันตรังสี 100 ล้านตัน” ในทะเลสาบบนภูเขา ซึ่งกั้นด้วยเขื่อนสองแห่งสูง 45 เมตร แต่ผู้เชี่ยวชาญตั้งคำถามถึงความปลอดภัยของข้อเสนอนี้ เพราะบ่อเก็บกากแร่ลักษณะเดียวกันนี้ในที่อื่น ๆ ก็เคยเกิดภัยพิบัติขึ้นมาแล้ว
นอกจากนี้ หลายคนในชุมชน “ชาวเผ่าอินูอิต” ของเมือง Narsaq กรีนแลนด์ ต่างวิตกถึงการปนเปื้อนของน้ำดื่ม พืชพันธุ์ และสัตว์ป่า
“เราดำรงชีวิตอยู่กับธรรมชาติ เช่นเดียวกับบรรพบุรุษของเรามาหลายชั่วอายุคน แต่เราจะถูกบังคับให้ย้ายออกไป” อวาราค เบนต์เซน นักศึกษาด้านโบราณคดีวัย 25 ปีกล่าว “โปรดคิดถึงคนพื้นเมืองด้วย นี่คือแผ่นดินของเรา นี่คือภูเขาของเรา”
ไม่เพียงเท่านั้น มีอีกหลายคนกังวลเกี่ยวกับฝุ่นจากเหมือง ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองประมาณ 6 กิโลเมตร “เราต้องการตากผ้าข้างนอก และเปิดหน้าต่างได้” จอห์น ไกส์เลอร์ พนักงานขายในร้านกล่าว ขณะผลักรถเข็นเด็กขึ้นเนินน้ำแข็งในเมือง “เราต้องคิดถึงสุขภาพก่อนเป็นอันดับแรก”