พ.ย. : การเมืองโลกและการลงทุน
พ.ย.ที่เราเตรียมระวังอันตราย อาจกลายเป็นเดือนที่นำข่าวดีมาสู่ประชาคมโลก
การเลือกตั้งประธานาธิบดีในบราซิล คนรักธรรมชาติและเยาวชนทั่วโลก รอลุ้นระทึกว่าประธานาธิบดี Jair Bolsonaro ที่ใช้นโยบายประชานิยมเน้นเศรษฐกิจ ให้ความสำคัญการทำมาหากิน มากกว่าการปกป้องสิ่งแวดล้อม จะได้รับเลือกตั้งอีกสมัยหนึ่งหรือไม่ เพราะป่าอเมซอนกำลังถูกรุกราน ต้นไม้ถูกตัดเกรียน เผาทำลาย เพื่อขยายพื้นที่ทำเกษตรกรรม โชคดีที่อดีตประธานาธิบดี Lula สามารถเอาชนะได้อย่างที่ไม่คาดฝัน ซึ่งผู้นำคนใหม่ประกาศนโยบายปกป้องป่าและสิ่งแวดล้อม
ข่าวดีเช้าวันที่ 4 พ.ย.ออกมาจากปักกิ่ง โดย Olaf Scholz ผู้นำของเยอรมนี และ Xi Jinping ผู้นำจีน แถลงข่าวร่วมกันเรื่องอันตรายของอาวุธนิวเคลียร์ เป็นเชิงปรามรัสเซีย คำแถลงนี้สำคัญมาก เพราะจีนเป็นประเทศที่รัสเซียถือว่าเป็นพันธมิตรสำคัญที่สุด และจีนระมัดระวังเรื่องคำพูดมาโดยตลอด เพื่อถนอมน้ำใจของรัสเซีย ขณะเดียวกันแสดงจุดยืนไม่กดดันรัสเซียมาตั้งแต่ต้นสงคราม การเ
สหรัฐกำลังนับคะแนนเสียงการเลือกตั้งกลางเทอม (8 พ.ย.) พรรคเดโมแครตดีใจที่ผลการเลือกตั้งออกมาเกินคาด ที่นั่งของวุฒิสภาและสภาผู้แทนใกล้เคียงกันกับพรรครีพับลิกัน คงต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์ กว่าจะรู้ว่าผลเป็นทางการออกมาเป็นอย่างไร ประธานาธิบดี Bidenและทีมเดินทางไปร่วมการประชุมสิ่งแวดล้อมโลก COP27 ที่อียิปต์ ด้วยขวัญและกำลังใจจากการเลือกตั้ง สหรัฐจะมีน้ำหนักในการเจรจาต่อรองและเสนอนโยบายในเวทีโลกได้ชัดเจนมากขึ้น
การประชุม COP27 ที่อียิปต์ครั้งนี้ จะได้ความสนับสนุนจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะประเทศที่มีความสามารถในการลงทุนสูง การที่ผู้นำสหรัฐ อังกฤษ แคนาดา ยุโรป และอื่นๆ ตัดสินใจไปร่วมงานด้วยตนเอง ทั้งที่หลายคนเคยแจ้งว่าจะส่งผู้แทนไป เช่นนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Rishi Sunak ซึ่งเพิ่งรับตำแหน่งใหม่ และประธานาธิบดี Biden เป็นต้น นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญมากต่อประชาคมโลก ยังเป็นการแสดงถึงความสำคัญของทวีปแอฟริกาซึ่งเป็นเจ้าภาพ
แอฟริกามีประชากรที่อายุเฉลี่ยน้อยที่สุดในโลก จะเป็นพลังสำคัญในอนาคต
หลังจากการประชุมสิ่งแวดล้อมที่อียิปต์ ประธานาธิบดีไบเดนจะเดินทางไปร่วมประชุมอาเซียนที่พนมเปญ แสดงถึงความสำคัญของอาเซียนต่อสหรัฐ เรื่องปัญหาในพม่าจะเป็นประเด็นสำคัญที่สุด และสหรัฐจะย้ำถึงประโยชน์ที่อาเซียนจะได้จากการมีสหรัฐและพันธมิตรใช้ต่อรองทางเศรษฐกิจและการทหารกับจีน ซึ่งการพัฒนาทั้งสองด้านนี้ของจีนสร้างความวิตกให้สมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศแต่ละกรณี
ตลาดหุ้นของสหรัฐพุ่งแรงในวันที่ 10 พ.ย. ตอบสนองกับตัวเลขของดัชนีผู้บริโภค CPI ซึ่งออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขึ้นเพียง 7.7% จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 7.9% Dow Jones ขึ้นวันเดียวกว่า 1,200 จุด บริษัท Apple เพิ่มมูลค่าในวันเดียวถึง 191,000 ล้านดอลลาร์
นักลงทุนคาดว่าตัวเลข CPI นี้ เป็นสัญญาณว่าเงินเฟ้อหรือสินค้าแพงจะเริ่มอ่อนตัวลง จากที่เคยเจอพายุดัชนีเงินเฟ้อ 8-9% มาหลายเดือน และสัญญาณนี้จะทำให้ธนาคารกลางของสหรัฐ (FED) ไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยมากและรวดเร็วเช่นหลายครั้งที่ผ่านมา นักลงทุนหวังว่าดอกเบี้ยจะไม่เพิ่มขึ้นมากและไม่เร็วมาก จะส่งผลให้ธุรกิจต่างๆมีกำไรมากขึ้น และสามารถวางแผนการลงทุนด้วยความมั่นใจ
จากผลการประชุมสภาที่ผ่านมาในเดือนตุลาคม ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน CCP ดูมีความเป็นปึกแผ่น เจ้าหน้าที่ระดับสูงเพิ่งส่งสัญญาณว่าจะมีมาตรการจริงจังลดความเสียหายจากการล็อกดาวน์ ตลาดหุ้นในฮ่องกงและจีนพุ่งขึ้นแรง ในวันที่ 11 พฤศจิกายน จากข่าวดีของสหรัฐและจีน
รัสเซียประกาศถอนกองกำลังออกจากเมือง Kherson ซึ่งเป็นเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์ซึ่งรัสเซียยึดจากยูเครน ความกดดันภายในรัสเซียจากการสูญเสียชีวิตหรือบาดเจ็บของทหารรัสเซียประมาณ 100,000 คน และความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งเสื่อมลง ทำให้ประธานาธิบดีปูตินตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายไม่ไปประชุมที่บาหลี
เป็นโอกาสให้ประธานาธิบดีของสหรัฐและจีนมีโอกาสได้พบกันตัวต่อตัวเป็นครั้งแรกตั้งแต่ประธานาธิบดีไบเดนได้รับตำแหน่ง ทั้งสองมีโอกาสสนทนากันทางวิดีโอแล้วสองครั้ง แต่การพบกันที่บาหลีครั้งนี้ อาจคลายความตึงเครียดและเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสองฝ่ายเริ่มเจรจาต่อรอง ประนีประนอมบางอย่าง
การประชุม APEC ที่กรุงเทพฯ บรรยากาศของความร่วมมือและการเจรจาคาดว่าจะต่อเนื่อง เพราะหลายคนมีโอกาสพบกันที่บาหลีแล้ว แม้ว่าประธานาธิบดีไบเดนจะเดินทางกลับสหรัฐและส่งรองประธานาธิบดีมาแทน ก็คงไม่เสียหายมาก เดือนส.ค. ค.ศ. 2023 อเมริกาจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุม APEC ที่ Seattle
การเลือกตั้งของสหรัฐแม้ว่าจะออกมารูปใดก็ตาม สถิติที่ผ่านมา 93 ปี อาจใช้เป็นข้อพิจารณา
- ดัชนี S&P500 ตั้งแต่ปีค.ศ. 1926-2019 ไม่ว่าประธานาธิบดีอเมริกันจะเป็นพรรคไหน มูลค่าหุ้นขึ้นโดยเฉลี่ยปีละ 12.09%
- ช่วงพรรครีพับลิกันได้ครองทำเนียบขาวและสภา หุ้นขึ้น 14.52% ต่อปี (13ปี)
- ช่วงเดโมแครตได้ครองทำเนียบขาวและสภาหุ้นขึ้น 14.52 % ต่อปี (34ปี)
- ช่วงรีพับลิกันได้เป็นประธานาธิบดีแต่เดโมแครตคุมเสียงข้างมากในสภา หุ้นขึ้นเฉลี่ย 6.99% ต่อปี (33 ปี)
- ช่วงเดโมแครตได้เป็นประธานาธิบดีแต่รีพับลิกันคุมเสียงข้างมากในสภา หุ้นขึ้นเฉลี่ย 15.94% ต่อปี (14 ปี)
หวังอย่างยิ่งว่าเดือนพ.ย.นี้จะนำสิ่งดีมาสู่ทุกท่านครับ