กลยุทธ์ตั้งรับ ลงทุนหุ้นสหรัฐฯ หลังหุ้นเทคฯ เพิ่มขึ้นร้อนแรง
ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เชื่อว่าคอการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ คงได้เห็นการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยี (Big Tech) อย่างเช่น Nvidia ที่มูลค่าตลาดทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. ไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หลายคนอาจเริ่มรู้สึกอยากกลับเข้าไปลงทุนในหุ้น Big Tech สหรัฐฯ อีกครั้ง แต่ SCB CIO มองว่า อาจยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา SCB CIO ยังคงมีมุมมอง Neutral กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ โดยเรามองว่า ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มได้รับแรงกดดันจากภาคการผลิตที่หดตัว ภาวะสินเชื่อที่ตึงตัว ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหดตัว และ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีท่าทีปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่ม อีกทั้งคงยังไม่รีบปรับลดดอกเบี้ย โดยคาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 5.25-5.50% ในปี 2566
อย่างไรก็ตาม ด้วยการจ้างงานและการบริโภคที่แข็งแกร่ง บวกกับภาคบริการที่ฟื้นตัว เรามองว่า กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ อาจใกล้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แม้ยังเผชิญความไม่แน่นอนในช่วงที่เหลือของปี
สำหรับ หุ้น Big Tech ของสหรัฐฯ เมื่อพิจารณาจากดัชนี Nasdaq 100 พบว่า ปรับขึ้นและทำผลงานได้ดีกว่าดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ อื่นๆ เป็นเพราะได้แรงหนุนจาก EPS ที่ออกมาดีกว่าคาด นำโดยหุ้นกลุ่มบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกระแสการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เช่น Nvidia ที่เผยผลประกอบการไตรมาสแรก มีกำไรเติบโตจากแรงหนุนยอดขายของชิปที่เกี่ยวข้องกับ AI สะท้อนความต้องการใช้ชิป AI ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่หุ้น Big Tech รายอื่น เช่น Microsoft และ Alphabet ที่มีการคาดการณ์รายได้เพิ่มขึ้นจาก AI ก็ทำให้ราคาปรับขึ้นไปมากเช่นกัน
ด้วยการปรับขึ้นของหุ้น Big Tech จากประเด็น AI นี้ จึงทำให้มูลค่า Nasdaq100 คาดการณ์ราคาต่อกำไรต่อหุ้น (forward P/E) ในระยะข้างหน้าอยู่ที่ 26.5 เท่า ขณะที่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (s.d.) ซึ่งบ่งบอกถึงความผันผวนของ forward P/E อยู่ที่ +1.0 s.d. แปลว่า มูลค่า (Valuation) ของหุ้น Big Tech อาจเริ่มตึงตัวแล้ว หรือ อยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพงแล้ว ดังนั้น เราจึงแนะนำว่า หากเป็นแฟนคลับตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างเหนียวแน่น ยังไม่ควรผลีผลามเข้าลงทุนในหุ้น Big Tech ในช่วงที่มูลค่าค่อนข้างแพง แต่หากต้องการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ก็ควรทยอยสะสมหุ้นกลุ่ม Defensive ที่มูลค่ายังถูกกว่าแทน
ทั้งนี้ หุ้น Defensive ถือเป็นหุ้นที่มีความทนทานต่อทุกสภาพตลาด เหมาะสำหรับเติมเข้ามาในพอร์ตลงทุน เพื่อใช้ตั้งรับสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอย เนื่องจาก เรามองว่า ยังมีความเป็นไปได้มากถึง 60% ที่สหรัฐฯ จะเผชิญ เศรษฐกิจถดถอยแบบไม่รุนแรง (Mild Recession) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ในช่วงเวลาแบบนี้ ผู้ลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นที่แม้จะเจอกับสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอย ก็ยังสามารถมีผลกำไรที่แข็งแกร่งได้ รวมถึงควรพิจารณาหุ้นที่มูลค่ายังน่าสนใจ เช่น หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) ที่มี fwd P/E อยู่ในระดับ 16.9 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 5 ปี อยู่ที่ -1.3 s.d. และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น (Consumer staples) ที่มี fwd P/E ที่ 20.1 เท่า ยังอยู่ในระดับใกล้ค่าเฉลี่ยระยะยาว 5 ปี
จะเห็นได้ว่า ถึงหุ้น Big Tech สหรัฐฯ จะมีประเด็น AI มาหนุน แต่ด้วยราคาที่แพง มูลค่าที่ตึงตัว อาจจะไม่ตอบโจทย์นักสำหรับผู้ลงทุนที่ไม่มีหุ้นนี้อยู่ในพอร์ตเลยในช่วงที่ผ่านมา แล้วอยากจะกระโดดเข้าไปร่วมวงในช่วงนี้ หรือกลุ่มผู้ลงทุนที่มีหุ้นกลุ่มนี้อยู่แล้ว เมื่อหุ้นปรับขึ้นไป และมีกำไรก็ควรใช้โอกาสทยอยขายทำกำไรออกมา ก่อนที่หุ้น Big Tech อาจเผชิญกับการปรับฐานในอนาคต ขณะที่กลุ่ม Defensive ยังอยู่นอกสายตาของผู้ลงทุนในช่วงที่ผ่านมา และเป็นหุ้นที่มีกำไรดีกว่าตลาดโดยรวมในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ มูลค่าก็ยังถูกอยู่ ซึ่งตรงกับคุณสมบัติที่ SCB CIO มองว่า น่าสนใจใช้เป็นกลยุทธ์ตั้งรับในการลงทุน
อย่างไรก็ดี หากเป็นผู้ลงทุนระยะยาว ที่สนใจลงทุนในหุ้น Big Tech จริงๆ เราก็มองว่า หากหุ้น Big Tech มีการปรับฐาน อาจค่อยอาศัยจังหวะนั้นกลับเข้าไปสะสมเพื่อลงทุนในระยะยาวได้ เนื่องจาก เราคาดว่า กำไรของกลุ่ม Tech มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ และแม้ว่าจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจมีโอกาสถดถอย Earnings หุ้นในกลุ่มฯ ก็ยังสามารถทนทานได้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Tech ที่เป็นหุ้นเติบโต ที่สามารถรักษาการเติบโตของกำไร และรายได้ที่เหนือกว่าตลาดได้ ก็จะยิ่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาด
ดังนั้น เรามองว่า ยิ่งภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ใกล้เข้ามาเท่าไหร่ ผู้ลงทุนยิ่งประมาทไม่ได้ การลงทุนจึงควรเน้นไปที่การตั้งรับมากกว่าการรุก เพื่อลดความผันผวนที่จะเกิดขึ้นกับพอร์ตลงทุน